ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)
Bookmark and Share

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ซื้อรถยุคขิงแก่ขายพอเพียง กลเวียนเทียน ต้นทุน 5 หมื่นฟันกำไร 2 แสน นายกฯจี้หาต้นตอทุจริตให้ได้


วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11496 มติชนรายวัน


ซื้อรถยุคขิงแก่ขายพอเพียง กลเวียนเทียน


ต้นทุน 5 หมื่นฟันกำไร 2 แสน นายกฯจี้หาต้นตอทุจริตให้ได้




สารพัดเล่ห์ - นายสัญญา หาญพยัคฆ์ ผู้ใหญ่บ้านกรุงภูพา ต.โคกกุง อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ พามาดูรถนวดสีข้าวซึ่งมีบริษัทมาขอซื้อ 50,000 บาท เพื่อนำไปขายต่อในโครงการชุมชนพอเพียงราคา 250,000 บาท ขณะที่ชุมชนบางแห่งโอนเงินไปให้บริษัทนานแล้วแต่ได้รับเฉพาะโครงเครื่องผลิต ปุ๋ยอัดเม็ดเท่านั้น จนบัดนี้ยังไม่ได้รับเครื่องจักรและอุปกรณ์หลักเลย

พบเล่ห์เอกชนกว้านซื้อรถเก่าในโครงการ"อยู่ดีมีสุข" ไปเวียนเทียนขาย"ชุมชนพอเพียง" แถมให้แค่ 5 หมื่น แต่ขาย 2.5 แสน บางชุมชนได้รับของไม่ครบ พท.แฉ 22 ชุมชน"กทม."โดนแก้โครงการ พบนักการเมือง-ขรก.รับเงินแทนชาวบ้าน 9 ล้าน

ความคืบหน้าเกี่ยว กับกรณีตัวแทนบริษัทเอกชนหลายรายเข้าไปทำมาหากินกับโครงการชุมชนพอเพียงโดย มีนักการเมืองท้องถิ่น และ เจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งในสำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (สพช.) ให้ความ ร่วมมือ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าพลังงานแสงอาทิตย์ ปุ๋ยอินทรีย์สำเร็จรูป ล่าสุดพบพฤติการณ์ "ย้อมแมว" ขายรถนวดสีข้าวเก่าให้ชุมชนหลายแห่งใน จ.ชัยภูมิ ในราคาแพงคันละ 250,000 บาท นั้น ผู้สื่อข่าว "มติชน" ตรวจสอบที่มาที่ไปของ รถนวดสีข้าวย้อมแมวแล้วยังพบพฤติกรรม "เวียนเทียน" สินค้าอีกด้วย กล่าวคือบริษัทดังกล่าวไปกว้านซื้อรถมาจากชาวบ้านที่ร่วมโครงการ "อยู่ดีมีสุข" สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เพื่อนำไปให้ในโครงการชุมชนพอเพียง

พฤติการณ์บริษัทเอกชนกว้านซื้อของเก่าไปเวียนเทียนขายต่อให้โครงการชุมชนพอเพียง ได้รับการเปิดเผยโดยนายสัญญา หาญพยัคฆ์ อายุ 46 ปี ผู้ใหญ่บ้านกรุงภูพา หมู่ 13 ต.โคกกุง อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ ว่า ในช่วงที่รัฐบาล (พล.อ.สุรยุทธ์) ดำเนินโครงการ "อยู่ดีมีสุข" ชุมชนกรุงภูพาได้รับอนุมัติโครงการจัดซื้อรถนวดสีข้าวขนาด 5 ฟุต 6 ล้อ เหมือนกับหมู่บ้านหนองมะเขือใหม่ ต.หนองขาม อ.แก้งคร้อ แต่รถนวดสีข้าวที่จัดซื้อมาใช้เป็นรถมือสองที่นำมาประกอบใหม่ราคาคันละ 50,000 บาทเท่านั้น โดยติดต่อขอซื้อจากบริษัทเอกชนรายหนึ่งใน จ.สระบุรี ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ก่อนหน้าโครงการชุมชนพอเพียงจะเริ่มต้นขึ้น ตนได้รับการติดต่อจากเอกชนผู้ขายเครื่องมือทางการเกษตรขอซื้อรถนวดสีข้าว จากการสอบถามตัวแทนเอกชนดังกล่าวได้รับแจ้งว่า จะนำรถดังกล่าวไปร่วมโครงการชุมชนพอเพียงของรัฐบาล เนื่องจากมีหลายชุมชนต้องการซื้อเครื่องมือทางการเกษตรประเภทนี้จำนวนมาก

"ผมไม่รู้ว่าเขาเอาข้อมูลจากไหนมาว่าผมมีรถนวดข้าวรุ่นนี้อยู่ แต่ตอนที่เอกชนเหล่านี้เข้ามาติดต่อ เขาบอกว่าจะขอซื้อไปคันละ 5 หมื่นบาท ผมเห็นว่าเป็นราคาที่น้อยเกินไป เพราะผมซื้อรถคันนี้มาคันละ 5 หมื่นบาท ขายไปก็ไม่ได้กำไร แถมเหตุผลของเขาชัดเจนว่าจะเอาไปขายต่อในโครงการชุมชนพอเพียงในราคาสูงๆ ผมเลยไม่อยากยุ่งด้วย เพราะเดี๋ยวมีปัญหาขึ้นมาชุมชนของผมจะเดือดร้อน" นายสัญญากล่าว

นายสัญญากล่าวต่อไปว่า หากเป็นรถ 6 ล้อใหม่ขนาด 5 ฟุต ที่ขายทั่วไปในท้องตลาด ราคาสูงถึง 300,000 -400,000 แสนบาท แต่ถ้าเป็นรถเก่าแล้วนำมาประกอบใหม่ จะตั้งราคาสูงที่สุดไม่น่าจะเกิน 1 แสนกว่าบาทเท่านั้น ขณะที่รถนวดสีข้าวราคาประมาณ 250,000 บาท ปัจจุบันนี้เป็นรถขนาด 8 ฟุต เพราะใช้งานได้ดีและสะดวกกว่า เนื่องจากมีระบบรางมาช่วยเสริม ไม่ต้องใช้วิธีโยนข้าวให้ลำบากเหมือนรถขนาด 5 ฟุต อายุงานก็นานกว่าด้วย

สำหรับการดำเนินงานโครงการชุมชนพอเพียง ของชุมชนบ้านกรุงภูพานั้น ผู้ใหญ่บ้านกรุงภูพากล่าวว่า ได้เสนอโครงการโรงสีข้าวชุมชนไป ภายใต้งบประมาณ 250,000 บาท ปัจจุบันได้รับงบฯแล้ว และกำลังทำสัญญาว่าจ้างบริษัทก่อสร้างตัวอาคาร วางระบบไฟฟ้า พร้อมติดตั้งเครื่องสีข้าว ที่นี่ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะชุมชนใช้วิธีการเปิดให้บริษัทหลายรายมาเสนอเงื่อนไข และเลือกบริษัทที่ให้ข้อเสนอที่ดีที่สุด ก่อนทำสัญญาซื้อขาย จะไปดูสินค้าทั้งหมดด้วยตนเอง หากไม่มีคุณภาพ และราคาแพงเกินจริง จะยกเลิกข้อตกลงทันที

ส่วนการดำเนินงานโครงการชุมชนพอเพียงของ รัฐบาลที่ถูกตั้งข้อสังเกตปัญหาเรื่องการทุจริตอยู่ในขณะนี้ นายสัญญากล่าวว่า หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ก็ไม่สามารถทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จได้ เพราะนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เวลารัฐบาลอนุมัติโครงการอะไรมาสักอย่าง จะเห็นบริษัทเอกชนหลายแห่งวิ่งเต้นขายสินค้าในหมู่บ้านกันจนชินตา กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ยิ่งงบฯที่รัฐบาลส่งมาแบบให้เปล่า เวลาจะใช้ชาวบ้านเลยไม่คิดอะไรมาก เพราะถือว่าไม่ใช่เงินของตนเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลโครงการชุมชนพอเพียงใน ต.หนองขาม อ.แก้งคร้อ พบว่าชุมชนจำนวนมากสั่งซื้อเครื่องมือทางการเกษตรหลายชนิด อาทิ รถอีแต๋น เครื่องผลิตปุ๋ยอัดเม็ด เป็นต้น จากการ พูดคุยกับประธานชุมชนหลายแห่งได้รับการยืนยันเหมือนกันว่าบริษัทหลายรายมาติดต่อขายสินค้าให้ แต่ละรายต่างยืนยันว่าหากซื้อสินค้าของตนจะช่วยให้โครงการได้รับอนุมัติแน่นอน แต่เมื่อได้สินค้ามาปรากฏว่าไม่เพียงแพงเกินจริงเท่านั้น แต่ยังได้ของเก่า เช่น รถ อีแต๋นเก่าทาสีใหม่ ส่วนเครื่องผลิตปุ๋ยอัดเม็ดนั้น ชุมชนบางแห่งโอนเงินให้บริษัทไปหลายสัปดาห์แล้ว แต่จนถึงขณะนี้ได้รับอุปกรณ์เพียงแค่ 2 ชิ้น ซึ่งเป็นโครงเหล็กเปล่าๆ ยังเหลืออีก 2 ชิ้นที่ยังไม่ส่งมาให้ ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้

ทางด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความไม่โปร่งใสในโครงการชุมชนพอเพียงกรณีนำเครื่องนวดสีข้าวเก่ามาขายให้ชุมชนในจ.ชัยภูมิว่า ต้องส่งข้อมูลมา เพราะตอนนี้ได้สั่งระงับโครงการที่มีปัญหาไว้หมดแล้ว ต้องยอมรับว่าปัญหาลักษณะนี้มีมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่โครงการเงินผัน แต่ต้องดูไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น หากใครเกี่ยวข้องก็ต้องโดนลงโทษ ในอดีตไม่เคยมีใครโดนลงโทษ เลยเป็นปัญหา แต่ขณะนี้มีองค์กรอิสระเข้าตรวจสอบโครงการดังกล่าว อีกทั้งการที่รัฐบาลเปลี่ยนชุดบริหารโครงการ น่าจะให้ความมั่นใจว่าเป็นการเปิดทางให้เข้าไปตรวจสอบในทุกเรื่องได้อยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทุจริต หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คราวนี้หากรัฐบาลจริงจัง การลงโทษก็จะเป็นการปรามในอนาคตต่อไป

ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า จากการตรวจสอบของคณะทำงานติดตามการทุจริตโครงการชุมชนพอเพียงในพื้นที่ชุมชน อินทามระ 55 เขตห้วยขวาง มีกรณีส่อทุจริตเปลี่ยนแปลงสิ่งของที่ขออนุมัติจากเครื่องทำไบโอดีเซล งบประมาณ 3 แสนบาท เป็นโคมไฟ 3 ชุด มูลค่าเพียง 1.5 แสนบาท ขอถามว่าเงินอีกครึ่งหายไปไหน นอกจากนั้นใน 22 ชุมชนย่านดินแดง มีการเปลี่ยนแปลงจากห้องเย็นชุมชนเป็นเครื่องทำปุ๋ยและก๊าซชีวภาพ โดย สพช.อนุมัติไปแล้ว 18 ชุมชน เหลือ 4 ชุมชนที่กรรมการและผู้นำชุมชนไม่ยอม ชุมชนดินแดงตั้งอยู่ใจกลาง กทม. ไม่ทำการเกษตร เหตุใด สพช.จึงอนุมัติสิ่งของดังกล่าว

นายพร้อมพงศ์กล่าวต่อไปว่า พรรคยังตรวจพบการเปิดบัญชีและถอนเงินไม่เป็นไปตามระเบียบการใช้เงินเป็น มูลค่ากว่า 9.6 ล้านบาท มีผู้รับเงินที่ไม่ใช่กรรมการชุมชน แต่มีนักการเมืองทั้งระดับชาติ ระดับท้องถิ่น ข้าราชการ และธนาคารเข้าไปเกี่ยวข้อง ขอให้นายกรัฐมนตรีตรวจสอบและปลดนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ และนายสุมิท แช่มประสิทธิ์ ผอ.สพช.ออกจากตำแหน่งด้วย


หน้า 1

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ซีแอลยาพ่นพิษ นายกพรีม่า-สมาคมเภสัชฯดิ้นสู้ขอเปิดข้อมูลถูกร้องเรียนทำผิดจรรยาบรรณ-กวฉ.สั่งยกอุทธรณ์

 


 
วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 18:40:13 น.  มติชนออนไลน์

ซีแอลยาพ่นพิษ นายกพรีม่า-สมาคมเภสัชฯดิ้นสู้ขอเปิดข้อมูลถูกร้องเรียนทำผิดจรรยาบรรณ-กวฉ.สั่งยกอุทธรณ์

นายกสมาคมเภสัชกรรม-พรีม่า ดิ้นสู้ถูกกล่าวหาประพฤติผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ อุทธรณ์ให้สภาเภสัชกรรมเปิดเผยข้อมูลรายชื่อผู้ร้องเรียน แต่คณะกรรมการวินิจฉัยข้อมูลข่าวสารยกอุทธรณ์ เพราะเรื่องอยู่ระหว่างสอบสวนข้อเท็จจริง

คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร(กวฉ.)สาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย มีคำวินิจฉัย(ที่ สค 95/2552)ให้ยกอุธรณ์ของนาย
ธีระ ฉกาจนโรดม นายกเภสัชกรรมสมาคมและนายกสมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (พรีม่า)ซึ่งมีสมาชิกเป็นบริษัทยาข้ามชาติกว่า 30 บริษัทกรณีที่นายธีระยื่นอุทธรณ์ขอให้สภาเภสัชกรรมเปิด เผยข้อมูลข่าวสารที่นายธีระ ฉกาจนโรดม ถูกร้องเรียนเรื่องว่า ประพฤติผิดจรรยาบรรณวิชาชีพเภสัชกรรมที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเรื่องประกาศ บังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรโดยรัฐ (ซีแอล) กับยาจนอาจทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดในเรื่องดังกล่าว โดยกวฉ.สาขาสังคมให้เหตุผลว่า อยู่ระหว่างที่สภาเภสัชกรสอบสวนข้อเท็จจริง การเปิดเผยข้อมูลจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ

ผู้สื่อข่าว"มติชนออนไลน์"รายงานเมื่อวันที่ 30 สิงหาคมว่า กรณีดังกล่าว นายธีระซึ่งเป็นเภสัชกรด้วย ถูกกล่าวหาว่าประพฤติผิดจรรยาบรรณวิชาชีพเภสัชกรรม จึงมีหนังสือลงวันที่ 16 มีนาคม 2552 ถึงเลขาธิการสภาเภสัชกรรม เพื่อขอข้อมูลข่าวสารจำนวน 2 รายการ ได้แก่
1. รายชื่อคณะอนุกรรมการสอบสวน ชุดที่ 3 และ
2. หนังสือร้องเรียนลงวันที่ 13 มิถุนายน 2551 จำนวนครบทุกหน้า มีรายชื่อผู้ลงลายมือในเอกสารครบถ้วน เพื่อนำไปใช้ปกป้องสิทธิของตนเองต่อไป

 

อย่างไรก็ตามม สภาเภสัชกรรม มีหนังสือ แจ้งเปิดเผยข้อมูลข่าวสารรายการที่ 1 ทั้งหมด ส่วนข้อมูลข่าวสารรายการที่ 2 เปิดเผยเฉพาะประเด็นสาระของข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่า  การเปิดเผยรายชื่อผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อม ประสิทธิภาพหรือไม่อาจสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้ ตามมาตรา 15 (2) แห่ง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540

 

กวฉ.สาขาสังคม พิจารณาแล้ว สรุปความได้ว่า สภาเภสัชกรรมได้รับการร้องเรียนเรื่องจรรยาบรรณเภสัชกรของผู้อุทธรณ์(นายธีระ ฉกาจนโรดม) จากกรณีที่ผู้อุทธรณ์ในฐานะนายกสมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (พรีม่า) ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มติชน เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2551 โดยกล่าวว่า "ยินดีกับความคิดของนายไชยาที่เห็นว่าในอนาคตการประกาศบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรโดยรัฐ (ซีแอล) กับยาอาจไม่จำเป็น เพราะได้ทำซีแอลกับยาที่จำเป็นแล้ว และถือว่านายไชยาเป็นผู้มีมารยาทในการทำงานอย่างมาก เพราะสิทธิบัตรยาเป็นเรื่องที่ต่างประเทศได้ทุ่มเงินลงทุนวิจัยอย่างมหาศาล แต่อยู่ดีๆ จะมายึดเอาทรัพย์สินทางปัญญาไป เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง"

 

กลุ่มผู้ร้องเรียนเห็นว่า จากคำกล่าวข้างต้นทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม และไม่เหมาะสมกับฐานะการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพ ทั้งนี้ ผู้อุทธรณ์ยังเป็นนายกเภสัชกรรมสมาคมซึ่งเป็นกรรมการสภาเภสัชกรรมโดยตำแหน่ง แต่ได้กล่าวถึงเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาโดยเจตนาว่า การประกาศบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรโดยรัฐ (ซีแอล) เป็นการยึดเอาทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นการให้ความเห็นโดยไม่สุจริตแก่สาธารณชน เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวมิได้เป็นการยึดเอาทรัพย์สินทางปัญญา แต่อย่างใด

 

ในทางกลับกันการดำเนินการดังกล่าวถูกต้องตามข้อตกลงการค้าโลกว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา และพ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2535 ของประเทศไทย

 

นอกจากนี้ บริษัทเอกชนก็สามารถขายผลิตภัณฑ์ของตนต่อไปได้โดยปกติ มิได้มีการยึดทรัพย์สินของบริษัทแต่อย่างใด อนึ่ง ผู้อุทธรณ์มิได้ให้ความเห็นครั้งนี้เป็นครั้งแรกแต่ได้ประพฤติและกระทำการเช่นนี้ต่อสาธารณชนมาหลายครั้งหลายหนแล้ว การกระทำดังกล่าวเป็นการผลิตข้อบังคับสภาเภสัขกรรมว่าด้วยจรรยาบรรณแห่ง วิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ.2538 เนื่องจาก ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมต้องไม่หลอกลวง หรือให้คำรับรองอันเป็นเท็จ หรือให้ความเห็นไม่สุจริตในเรื่องใดๆ ภายใต้อำนาจหน้าที่แก่สาธารณชน หรือผู้มารับบริการ ให้หลงเข้าใจผิดเพื่อประโยชน์ของตน ทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ จึงขอให้สภาเภสัชกรรมพิจารณาจรรยาบรรณของผู้อุทธรณ์ต่อไป

 

สภาเภสัชกรรมจึงมอบให้คณะอนุกรรมการสอบสวน ชุดที่ 3 ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องร้องเรียนดังกล่าว โดยในขณะนี้การสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ และผู้อุทธรณ์ได้ใช้สิทธิในการขอข้อมูลข่าวสารในรายการข้างต้นเพื่อนำไปปก ป้องสิทธิของตน แต่ได้รับการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้บางส่วน โดยในส่วนที่สภาเภสัชกรรมปฏิเสธการเปิดเผย คือ รายชื่อของผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ซึ่งผู้อุทธรณ์เห็นว่า การเปิดเผยรายชื่อผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษไม่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อ ประสิทธิภาพหรือไม่อาจสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้แต่อย่างใด เพราะในการร้องเรียนกล่าวหาผู้อื่นนั้น ผู้กล่าวหาต้องมีความรับผิดชอบโดยต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงให้รอบคอบก่อนจะ กล่าวหาผู้ใด มิใช่การกล่าวหาลอยๆเพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่น อีกทั้งการเปิดเผยรายชื่อผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษตามกระบวนการยุติธรรมทั้งทางเอกชนและทางปกครอง ผู้ฟ้องหรือร้องเรียนผู้อื่นจะต้องเปิดเผยชื่อของตนเอง เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหารับทราบถึงคู่กรณี เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาหรือร้องเรียนใช้สิทธิปกป้องตนเองได้ และผู้อุทธรณ์ไม่มีพฤติการณ์ใดที่อาจจะก่อนให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือความ ปลอดภัยต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด

 

กวฉ.สาขาสังคม ฯเห็นว่า สภาเภสัชกรรมอยู่ระหว่างขั้นตอนการสอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีการร้องทุกข์ กล่าวโทษดังกล่าวซึ่งยังไม่เป็นที่สรุปว่าผู้อุทธรณ์ได้กระทำความผิดตามข้อร้องเรียนจริงหรือไม่ ดังนั้น เมื่อคำนึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกัน การเปิดเผยรายชื่อผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษในขณะนี้จะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ หรือไม่อาจสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการตรวจสอบหรือการรู้แหล่งที่มาของข้อมูลข่าวสาร ตามมาตรา 15 (2) แห่งพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 การใช้ดุลพินิจของสภาเภสัชกรรมในการเปิดเผยเพียงสาระของข้อกล่าวหาหรือข้อ กล่าวโทษ จึงชอบแล้ว


อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 35 แห่ง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540  กวฉ.สาขาสังคมฯ จึงมีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1251632686&grpid=01&catid=04
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://itceoclub.ning.com
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.logex.kmutt.ac.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://icann-ncuc.ning.com
http://www.webmaster.or.th
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://pwdhutch3.blogspot.com
http://energygreenhealth.com

อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง"20 บิ๊ก"อดีตศาล รธน.-อดีต กกต.-ผู้ตรวจการ คดีขึ้นเงินเดือน หลังดูสำนวนานเกือบ 2 ปี

 วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 19:29:17 น.  มติชนออนไลน์

อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง"20 บิ๊ก"อดีตศาล รธน.-อดีต กกต.-ผู้ตรวจการ คดีขึ้นเงินเดือน หลังดูสำนวนานเกือบ 2 ปี

อัยการ สูงสุด มีความเห็นสั่งฟ้องกราวรูดอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อดีต กกต.-ผู้ตรวจการแผ่นดิน รวม 20 คน ข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกรณีขึ้นเงินเดือนให้ ตัวเองคนละ 20,000 บาท หลังจากที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดมานานเกือบ 2 ปี

ผู้สื่อข่าว"มติชนออนไลน์"รายงานเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง
อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 13 คน
อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) 4 คน และ
ผู้ตรวจการแผ่นดินและอดีตผู้ตรวจการแผ่นดิน 3 คน
รวมแล้ว 20  คน ในข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีร่วมกันออกระเบียบจ่ายค่าตอบแทนให้กับตนเองโดยมิชอบในลักษณะเหมาจ่ายรายเดือนคนละ 20,000 บาทต่อศาลอาญา

สำหรับ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วย
 1.นายกระมล ทองธรรมชาติ 
 2.นายจิระ บุญพจนสุนทร
 3.นายจุมพล ณ สงขลา
 4.นายผัน จันทรปาน
 5.นายมงคล สระฏัน
 6. นายมานิต วิทยาเต็ม
 7.นายศักดิ์ เตชาชาญ
 8.นายสุจิต บุญบงการ
 9.นายสุธี สิทธิสมบูรณ์
10. พล.ต.อ.สุวรรณ สุวรรณเวโช
11.นายสุวิทย์ ธีรพงษ์
12.นางเสาวนีย์ อัศวโรจน์
13.นายอุระ หวังอ้อมกลาง  


อดีต กกต.ประกอบด้วย พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต. นายปริญญา นาคฉัตรีย์, นายวีระชัย แนวบุญเนียร และพล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ


ผู้ตรวจการแผ่นดินประกอบด้วย พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน  นายปราโมทย์ โชติมงคล และ อดีตผู้ตรวจการแผ่นดิน นายพูลทรัพย์ ปิยะอนันต์

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีดังกล่าว คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)มีมติชี้มูลความผิด ทางอาญาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2550 และส่งเรื่องให้อัยการสูงสูงสุดพิจารณาสำนวน แต่อัยการสูงสุดใช้เวลาในการพิจารณาสำนวนนานเกือล 2 ปีจนถึงกลางปี 2552 จึงมีความเห็นให้สั่งฟ้องอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อดีต กกต.และผู้ตรวจการแผ่นดินโดยแยกออกเป็น 3 สำนวน โดยขอให้ ป.ป.ช.ออกหมายเรียกบุคคลทั้ง 20 คนเพื่อให้อัยการสูงสุดนำไปตัวฟ้องคดีต่อศาล


อย่างไรก็ตาม พนักงานอัยการพยายามดำเนินการเรื่องนี้อย่างเงียบๆโดยอ้างว่า บุคคลทั้ง 20 คนล้วนแต่เป็น"ผู้ใหญ่"หรืออดีตเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง จึงต้องการให้เกียรติ
ไม่ต้องการให้เป้นข่าวอื้อฉาว

 


--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/

อนาถ"ย้อมแมว" ขายรถ"นวดสีข้าว" ทาสี-ปะผุ-ของเก่าสนิมจับ ยัดชาวบ้านราคา 2.5 แสน โครงการพอเพียงเจ้าเก่า


--
      Weblinkวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11495 มติชนรายวัน


อนาถ"ย้อมแมว" ขายรถ"นวดสีข้าว"


ทาสี-ปะผุ-ของเก่าสนิมจับ ยัดชาวบ้านราคา 2.5 แสน โครงการพอเพียงเจ้าเก่า




รถ"พอเพียง" - สภาพรถนวดสีข้าวตามโครงการชุมชนพอเพียง ที่ชุมชนแห่งหนึ่งใน ต.หนองขาม อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ จัดซื้อผ่านนายหน้าที่รับเดินเรื่องเร่งการอนุมัติงบประมาณให้ เพื่อแลกกับการจัดซื้อรถจากห้างร้านที่นำไปเสนอ ปรากฏว่าชุมชนได้รถเก่าย้อมแม้วทาสีใหม่ ห้องคนขับ (ภาพเล็ก) บ่งบอกชัดเจนว่าใช้งานมานาน ขณะที่ราคาสูงถึงคันละ 2.5 แสนบาท

โครงการ ชุมชนอื้อฉาวอีก ชาวชัยภูมิเสียรู้นายหน้าหลอก มีเส้นสายใน สพช.ช่วยเดินเรื่องอนุมัติงบฯชุมชนพอเพียงให้ได้ ครั้นยอมซื้อ"รถนวดสีข้าว"2.5แสนบาท วันไปรับสินค้าถึงกับอึ้ง เจอรถเก่าย้อมแมวทาสีให้ดูเหมือนใหม่มาขายให้ราคาแพงเกินจริง แถมเครื่องยนต์คนละยี่ห้อกับตัวถัง เผยซื้อจากร้านค้า "พ."ในโคราช

โครงการ ชุมชนพอเพียงของสำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน หรือ สพช.ยังคงอื้อฉาวต่อเนื่อง หลังจากก่อนหน้านี้พบความไม่ชอบมาพากลในหลายพื้นที่ ล่าสุดจากการลงพื้นที่ตรวจสอบการดำเนินงานโครงการใน จ.ชัยภูมิ ไม่เพียงแต่มีนายหน้าบริษัทอาศัยข้อมูลวงในไปทำโครงการขายปุ๋ยอินทรีย์ สำเร็จรูปให้ชุมชนเท่านั้น หากยังพบพฤติกรรมนายหน้าบริษัทเอกชนขายเครื่องมือการเกษตรไปเสนอขายสินค้า ให้ชุมชน แลกกับการผลักดันให้ได้รับอนุมัติงบประมาณในโครงการโดยเร็วและที่แย่ไปกว่า นั้นคือ เครื่องมือการเกษตรนอกจากราคาแพงเกินจริง เมื่อไปรับสินค้ากลับกลายเป็นของย้อมแมว "มือสอง" ซึ่งผ่านการใช้งานมาแล้ว

พฤติกรรม นายหน้าบริษัททำมาหากินกับโครงการชุมชนพอเพียงนี้ ได้รับการเปิดเผยจากนายสมศรี ลุนบง อายุ 55 ปี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 13 ชุมชนบ้านหนองมะเขือใหม่ ต.หนองขาม อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ ว่า มีตัวแทนจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งมาพบที่บ้าน บอกว่าได้รับทราบข้อมูลมาว่าชุมชนของตนมีโครงการที่จะจัดซื้อรถนวดสีข้าว มาใช้งาน หากชุมชนตัดสินใจสั่งซื้อสินค้า กับบริษัทจะเดินเรื่องให้ สพช.อนุมัติงบประมาณมาให้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 15 วัน ตอนแรกที่ตัวแทนบริษัทมาติดต่อ รู้สึกประหลาดใจมากว่า ทำไมถึงทราบว่าชุมชนเสนอโครงการซื้อรถนวดสีข้าว มิหนำซ้ำยังบอกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องโครงการ จะไปจัดการให้ แต่กรรมการชุมชนไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะตอนนั้นกังวลเพียงอย่างเดียวว่า โครงการที่เสนอไปแล้วจะได้รับอนุมัติงบฯล่าช้า เนื่องจากผ่านไปหลายเดือนแล้ว ยังไม่มีท่าทีว่าทางการจะอนุมัติให้ จึงตัดสินใจสั่งซื้อสินค้ากับบริษัทแห่งนี้ และบริษัทก็ดำเนินการได้จริงๆ หลังจากผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ ทางชุมชนได้รับจดหมายจากทางการแจ้งว่า โครงการได้รับการอนุมัติแล้ว และจะโอนเงินมาให้ 250,000 บาท ตามราคาสินค้าที่เสนอขายพอดี

นายสมศรีกล่าวว่า หลังจากโครงการรถนวดสีข้าวได้รับการอนุมัติ ตัวแทนบริษัทมาพบที่บ้านอีกครั้ง พร้อมพาไปที่สำนักงานบริษัท ที่ ต.โพนทอง อ.เมือง เพื่อให้ดูสินค้าตัวอย่าง พบสำนักงานเป็นเพียงบ้านจัดสรรหลังหนึ่ง หน้าบ้านไม่มีสินค้ามาวางโชว์ ภายในบ้านมีโต๊ะทำงาน และอุปกรณ์สำนักงานเพียงไม่กี่ชิ้น ตัวแทนอ้างว่าเป็นเพียงสำนักงานชั่วคราวที่ใช้ติดต่อขายสินค้าให้ชุมชนต่างๆ ส่วนสำนักงานใหญ่อยู่ที่ จ.นครราชสีมา จากนั้นเกลี้ยกล่อมให้ทำสัญญาซื้อขายทันที ไม่นานนัก ตัวแทนบริษัทได้พาไปรับสินค้าที่สำนักงาน

"พอผมเห็นรถนวดสีข้าวของ เขาถึงกับอึ้งเลย เพราะเป็นรถเก่าที่นำมาวางเครื่องทำสีใหม่ และนำเครื่องนวดสีข้าวมาติดตั้งเพิ่มเท่านั้น ราคาไม่น่าจะเกินคันละ 100,000 กว่าบาท พยายามต่อรองขอให้บริษัทลดราคาลงมา ตัวแทนบริษัทอ้างว่าราคาคันละ 250,000 บาท เหมาะสมแล้ว เพราะบริษัทมีต้นทุนในการผลิตสูง แต่พร้อมรับดูแลซ่อมบำรุงให้ในกรณีมีปัญหาใช้งานไม่ได้ เมื่อเขาไม่ยอมลดราคาให้ ผมจำใจรับรถและขับกลับมาที่ชุมชน จนบัดนี้ยังไม่ได้ทดลองใช้งาน เนื่องจากยังไม่ถึงช่วงฤดูเก็บเกี่ยว เลยนำไปจอดเก็บไว้ เมื่อถึงตอน นั้นหากสินค้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเขาจะส่งคนมาดูแลให้ตามที่รับปากไว้หรือไม่ แต่ถ้ามีปัญหาจริงๆ คงจะถอดเครื่องนวดสีข้าวออกไปก่อน และนำรถไปใช้ขนของในหมู่บ้านเวลามีงานแทน" นายสมศรีกล่าว

ผู้สื่อ ข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบสภาพรถนวดสีข้าวคันดังกล่าวพบว่า เป็นรถ 6 ล้อเก่าที่นำมาปะผุ และทาสีใหม่ อุปกรณ์ภายในรถไม่ว่าจะเป็นคอนโซลหน้า พวงมาลัย ล้วนเป็นของเก่าทั้งสิ้น ตัวถังรถระบุว่าเป็นยี่ห้อโตโยต้า แต่เครื่องยนต์กลับเป็นยี่ห้ออีซูซุ 100 L ซึ่งเป็นเครื่องเก่าเช่นกัน และนำเอาเครื่องนวดสีข้าวขนาด 5 ฟุต 76 แรงม้า มาเชื่อมต่อไว้ด้านบนตัวรถ ก่อนทาสีทั้งคันให้เป็นสีฟ้าเพื่อให้รถดูใหม่ จากการตรวจสอบสัญญาซื้อขายที่ชุมชนทำกับบริษัทพบว่า รายชื่อผู้ประกอบการที่นำสินค้ามาขายให้มีสถานะเป็นเพียงร้านค้าชื่อย่อ "พ" ตั้งอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ไม่ใช่ บริษัทมีชื่อเสียงอะไร เมื่อติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ระบุไว้ในสัญญา กลับไม่สามารถติดต่อได้


หน้า 1

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กมธ.สภาผู้แทนราษฎร เผย การใช้จ่ายงบประมาณปี 51 ของกทม. ใน 5 โครงการ อาจส่อเค้าทุจริต

 

 

 

กมธ.สภาผู้แทนราษฎร เผย การใช้จ่ายงบประมาณปี 51 ของกทม. ใน 5 โครงการ อาจส่อเค้าทุจริต 

25 ส.ค. 52-             กมธ. ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร เผย การใช้จ่ายงบประมาณปี 51 ของกทม. ใน 5 โครงการ   อาจเป็นไปเพื่อเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง พร้อมเตือนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารฯ กำชับให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามระเบียบราชการอย่างเคร่งครัด         

ที่ประชุมคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร  ได้พิจารณาเรื่องร้องเรียน กรณีขอให้ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ 2551 ของกรุงเทพมหานคร  ใน 5 โครงการ ได้แก่ โครงการสัมมนาดูงานต่างประเทศ โครงการจัดซื้อจัดจ้างสื่อการเรียนการสอน โครงการจัดซื้อแว่นตาเพื่อผู้มีปัญหาทางสายตา โครงการจัดซื้อของขวัญปี 2552 และโครงการจัดซื้อเครื่องดับเพลิง   ซึ่งภายหลังจากได้ร่วมหารือกับ      ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารกรุงเทพมหานครถึงการดำเนินโครงการดังกล่าวแล้ว ทางกรรมาธิการฯได้              ตั้งข้อสังเกตว่า การจัดซื้อจัดจ้าง อาจดำเนินการไม่ถูกต้องตามระเบียบ และเอื้อประโยชน์แก่กลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง อย่างไรก็ตาม   กรรมาธิการฯ เห็นว่า เรื่องดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของหน่วยงานราชการ  จึงได้แจ้งให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ ได้รับทราบ เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง  และกำชับให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการปฏิบัติตามระเบียบโดยเคร่งครัด   ทั้งนี้ ทางกรรมาธิการฯ จะได้เร่งติดตามความคืบหน้าในส่วนนี้ต่อไป

 

 

 

 

 

 

 

 

เรณู  เขมาปัญญา  /  ผู้สื่อข่าว

มันทนา ศรีเพ็ญประภา/ เรียบเรียง

                               



ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://twitter.com/care2causes
http://twitter.com/actionalerts
http://tham-manamai.blogspot.com
http://thammanamai.blogspot.com
http://sunsangfun.blogspot.com
http://dbd-52hi5com.blogspot.com
http://sundara21.blogspot.com
http://newsnet1951.blogspot.com
http://same111.blogspot.com
http://sea-canoe.blogspot.com
http://seminarsweet.blogspot.com
http://sunsweet09.blogspot.com
http://dbd652.blogspot.com
http://net209.blogspot.com
http://parent-youth.blogspot.com
http://netnine.blogspot.com
http://parent-net.blogspot.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://www.educationatclick.com/th 







ถูกพบอยู่กับ Buddy! แท็กรูปของคุณแล้วลุ้นคว้ารางวัลอันน่าตื่นตาตื่นใจ คลิกที่นี่เลย

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คำสั่งฯ ตั้งผู้เชี่ยวชาญ ผู้ปฏิบัติงานให้สมาชิกวุฒิสภา ปีงบประมาณ พ.ศ.2552

http://www.senate.go.th/postweb/bk_data/732.pdf
ที่ 1383/2552 เรื่อง ตั้งผู้ปฏิบัติงานให้สมาชิกวุฒิสภา ปีงบประมาณ พ.ศ.2552
 
 
http://www.senate.go.th/postweb/bk_data/729.pdf
ที่ 1369/2552 เรื่อง ตั้งนักวิชาการประจำคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552
ที่ 1370/2552 เรื่อง ตั้งเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการการทหาร วุฒิสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552
ที่ 1371/2552 ตั้งเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์ และอุตสาหกรรมวุฒิสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552
ที่ 1372/2552 เรื่อง ตั้งเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552
ที่ 1373/2552 เรื่อง ตั้งเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ วุฒิสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552
 
 
http://www.senate.go.th/postweb/bk_data/736.pdf
ที่ 1409/2552 เรื่อง ตั้งผู้ปฏิบัติงานให้สมาชิกวุฒิสภา ปีงบประมาณ พ.ศ.2552
ที่ 1411/2552 เรื่อง ตั้งนักวิชาการประจำคณะกรรมาธิการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม วุฒิสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552
ที่ 1412/2552 เรื่อง ตั้งเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์ และอุตสาหกรรม วุฒิสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552 
 
 
http://www.senate.go.th/postweb/bk_data/718.pdf
ที่ 1311/2552 เรื่อง ตั้งเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552
ที่ 1312/2552 เรื่อง ตั้งเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบเรื่องการทุจริต และเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552
 
http://www.senate.go.th/postweb/bk_data/711.pdf
ที่ 1209/2552 เรื่อง ตั้งผู้ชำนาญประจำตัวสมาชิกวุฒิสภา ปีงบประมาณ พ.ศ.2552
ที่ 1210/2552 เรื่อง ตั้งผู้ปฏิบัติงานให้สมาชิกวุฒิสภา ปีงบประมาณ พ.ศ.2552 
ที่ 1218/2552 เรื่อง ตั้งเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการการปกครอง วุฒิสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552
 
 
 
http://www.senate.go.th/postweb/bk_data/710.pdf
ที่ 1198/2552 เรื่อง ตั้งที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการพลังงาน วุฒิสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552
ที่ 1199/2552 เรื่อง ตั้งเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการการคมนาคม วุฒิสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552
ที่ 1200/2552 เรื่อง ตั้งเลขานุการประจำคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม วุฒิสภา ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2552
 
 
 
 
เชิญอ่าน blog.Thank you so much.

 
 
 
 
 
 




แบ่งปันความทรงจำกับคนอื่นๆ ที่คุณต้องการทางออนไลน์ได้ คนอื่นๆ ที่คุณต้องการ

วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คุก 20 ปี! เจ้าของผับนรกอาร์เจนฯ ย่างสด 194 ศพ แบบเดียวกับ 'ซานติก้า'

คุก 20 ปี! เจ้าของผับนรกอาร์เจนฯ ย่างสด 194 ศพ แบบเดียวกับ 'ซานติก้า'
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 สิงหาคม 2552 05:14 น.
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
โอมาร์ ชาบัน เจ้าของไนท์คลับถูกจำคุก 20 ปี ในเหตุเพลิงไหม้ครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์อาร์เจนตินา

(ไฟล์ภาพ) สภาพของโครแม๊กนอนคลับ ที่กลายเป็นสถานที่โด่งดังของอาร์เจนตินา

http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9520000094659
เอเจนซี - เจ้าของไนท์คลับแห่งหนึ่งในกรุงบัวโนสไอเรส ถูกพิพากษาจำคุก 20 ปีเมื่อวันพุธ(19) จากเหตุเพลิงไหม้เมื่อ 5 ปี ก่อนที่คร่าชีวิตนักท่องราตรีไปกว่า 194 ศพ ซึ่งนับเป็นเหตุไฟไหม้ครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของอาร์เจนตินา
       
       ด้วยการรอคอยคำพิพากษาอันยาวนานก่อให้เกิดความวุ่นวายทั้งในห้อง พิจารณาคดี และด้านนอกอาคารศาล บริเวณที่ครอบครัวและเพื่อนฝูงผู้เสียชีวิตมีเหตุกระทบกระทั่งกันเล็กน้อย จนตำรวจต้องมาแยกพวกเขาออกจากกัน
       
       เหตุเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ปี 2004 เกิดขึ้นเมื่อแขกรายหนึ่งจุดพลุในโครแม็กนอนคลับ ซึ่งอัดแน่นไปด้วยฝูงชนระหว่าง Callejeros วงดนตรีร็อกยอดนิยมกำลังแสดงบนเวที
       
       ผู้จัดการวงดนตรีถูกจำคุก 18 ปี ขณะที่สมาชิกของวงศาลตัดสินให้พ้นโทษ อย่างไรก็ตาม ตำรวจระดับสูงรายหนึ่งและเจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัยของเมืองต่างก็ต้องชด ใช้กรรมในคุก
       
       คาดหมายว่า โอมาร์ ชาบัน เจ้าของไนท์คลับ ซึ่งถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหาติดสินบนและเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ จะยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาเช่นเดียวกับคนอื่นๆที่ถูกตัดสินลงโทษ นั่นหมายความว่าทั้งหมดจะยังไม่ถูกนำตัวไปเข้าคุกในทันที
       
       พลุก่อให้เกิดกลุ่มควันและไฟลุกไหม้ถาโถมเข้าใส่ฝูงชน ทั้งนี้เหยื่อส่วนใหญ่เหยียบกันตายขณะพยายามตะเกียกตะกายไปยังประตูทางออก ฉุกเฉินที่ถูกเจ้าของล็อคไว้เพื่อป้องกันไม่ให้คนแอบเข้ามาภายในโดยไม่เสีย ค่าบัตรผ่านประตู
       
       ฟาเบียนา ปูเอบลา วัย 32 ปี รอดชีวิตแต่ก็สูญเสียแฟนหนุ่มไปในเหตุการณ์ดังกล่าว กล่าวเหมือนกับผู้รอดชีวิตคนอื่นๆ และครอบครัวของเหยื่อว่าโศกนาฏกรรมครั้งนี้มีสาเหตุมาจากการคอร์รัปชัน และความไม่เอาใจใส่ของเจ้าของ ตำรวจและเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยของเมือง



--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!  
http://www.parent-youth.net
http://ilaw.or.th
http://ww2.oja.go.th/home
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.projectlib.in.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.nstda.or.th/th
http://www.arda.or.th
http://www.nppdo.go.th
http://www.tlcthai.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.oknation.net/blog/assistance
http://weblogcamp2009.blogspot.com/

กทม.ขัดตาทัพ 10 ล.กั้นน้ำทะเลเซาะบางขุนเทียน เตรียมขอ 300 ล.สร้างซีออส

กทม.ขัดตาทัพ 10 ล.กั้นน้ำทะเลเซาะบางขุนเทียน เตรียมขอ 300 ล.สร้างซีออส
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 สิงหาคม 2552 15:16 น.
ทะเลบางขุนเทียน ภาพประกอบจากอินเทอร์เนต
       กทม.เตรียมของบ รัฐบาล 300 ล้านสร้างซีออสแก้ปัญหาน้ำทะเลกัดเซาะชายทะเลบางขุนเทียนระยะยาว ส่วนแก้เฉพาะหน้าเตรียมใช้งบ 10 ล้านสร้างเขื่อนไม้ไผ่กันคลื่นก่อน ขณะที่ชาวบ้านเตรียมทวงถามความคืบหน้า
       

       นาย ประกอบ จิรกิติ
รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาน้ำกัดเซาะชายฝั่งทะเลเขตบางขุนเทียน ด้วยการก่อสร้างเขื่อนกึ่งถาวรด้วยวัสดุสังเคราะห์จากไม้ผสมพลาสติก หรือซีออส ผลงานวิจัยของ ดร.ธนดล สัตตบงกช นักวิชาการจาก ม.เกษตรศาสตร์ ที่ผ่านการรับรองจากสถาบันนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ภายใต้วงเงินงบประมาณราว 300 ล้านบาทเศษ ว่า
       
       จากเดิมที่ กทม.จะใช้บประมาณของ กทม.เองนั้น กทม.มีเหตุจำเป็นต้องปรับแผนเสนอขออุดหนุนจากทางรัฐบาลในฐานะส่วนกลางแทน เนื่องจากปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นวงกว้าง ไม่เฉพาะแต่กับพื้นที่ของ กทม.เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงพื้นที่ใกล้เคียงโดยรอบด้วย
       ดังนั้น ขณะนี้ในส่วนของ กทม.จึงมีเพียงการของบประมาณเร่งด่วน 10 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยวิธีสร้างเขื่อนไม้ไผ่ ซึ่งได้นำเสนอต่อที่ประชุมผู้บริหาร กทม.ให้พิจารณาและได้รับการอนุมัติแล้ว อยู่ระหว่างการจัดสรรงบประมาณโดยสำนักงบประมาณ กทม.ให้แก่ทางสำนักการระบายน้ำนำไปจัดซื้อจัดจ้างหาผู้รับเหมา คาดว่า ในเร็วๆ นี้ จะได้เริ่มดำเนินการปักไม้ไผ่เป็นการเฉพาะหน้าให้ได้ ส่วนงบใหญ่จากทางรัฐบาลนั้นคงต้องรออีกสักระยะหนึ่ง
       
       ราย งายข่าวแจ้งด้วยว่า ในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ ทางกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่ 6 ชุมชนชายทะเลบางขุนเทียน ได้เตรียมรวมตัวกันเดินทางมาที่ศาลาว่าการ กทม.เพื่อทวงสัญญาและสอบถามความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหาจาก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.ตลอดจนรัฐบาล ภายหลังเรียกร้องมากเป็นเวลากว่า 2 ปีเต็ม สูญเสียแนวถอยร่นแล้วกว่า 6-7 เมตร แต่ยังไม่ได้รับการแก้ไขปัญหาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งขณะนี้เริ่มเข้าฤดูมรสุม ชาวบ้านเริ่มคาดการณ์แนวโน้มมรสุมในปีนี้อาจมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นกว่าปีที่ ผ่านๆ มา
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000093891

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!  
http://www.parent-youth.net
http://ilaw.or.th
http://ww2.oja.go.th/home
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.projectlib.in.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.nstda.or.th/th
http://www.arda.or.th
http://www.nppdo.go.th
http://www.tlcthai.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.oknation.net/blog/assistance
http://weblogcamp2009.blogspot.com/

สมาชิก กบข.ขู่ถ้าไม่แก้ไขสูตรคำนวณเงินใหม่จะงดส่งเงินเข้ากองทุน

สมาชิก กบข.ขู่ถ้าไม่แก้ไขสูตรคำนวณเงินใหม่จะงดส่งเงินเข้ากองทุน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 สิงหาคม 2552 16:51 น.
       ที่ ประชุม กบข.เสนอ 2 แนวทางแก้ไขหลักสูตรคำนวณเงินบำนาญข้าราชการ พร้อมให้มีการชดเชยเพิ่มเงินให้แก่สมาชิก กบข.ที่ได้รับผลกระทบ เตรียมดันเรื่องเข้ารัฐสภาดำเนินการ ขู่หากไม่ได้รับความเห็นชอบนัดเคลื่อนไหวใหญ่ งดส่งเงินเข้ากองทุน

       นายวิศร์ อัครสันตติกุล ประธานองค์กรเครือข่ายสมาชิกกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า จากการประชุมคณะทำงานเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหา กบข.ที่มี นายสมชัย สัจจพงศ์ ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลังเป็นประธาน เมื่อวันที่ 20 ส.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการหารือแนวทางแก้ไขปัญหาตามข้อเรียกร้องของสมาชิก กบข.ที่ให้มีการแก้ไขสูตรการคำนวณเงินบำนาญตามมาตรา 63 ของ พ.ร.บ.กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ที่ให้นำเงินเดือนสุดท้าย คูณด้วยเวลาราชการ หารด้วย 50 มาเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 70 เฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ซึ่ง ที่ ประชุมได้ข้อสรุปเบื้องต้นให้แก้ไขหลักเกณฑ์การคำนวณเงิน กบข.เป็น 2 แนวทางดังนี้ 1.ให้คำนวณจากอัตราเงินเดือนสุดท้าย คูณด้วยเวลาราชการ หารด้วย 50 มาเฉลี่ย 24 เดือนสุดท้าย แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 95 เฉลี่ย 24 เดือนสุดท้าย และ 2.คำนวณจากอัตราเงินเดือนสุดท้าย คูณด้วยเวลาราชการ หารด้วย 50
       

       นายวิศร์ กล่าวอีกว่า นอก จากนี้ ให้มีการชดเชยเพิ่มเงินให้แก่สมาชิก กบข.ที่ได้รับผลกระทบ ส่วนวิธีการจะเป็นอย่างไรนั้นให้เป็นไปตามข้อตกลงที่จะมีการเจรจากันต่อไป ให้ มีการปรับปรุงโครงสร้างคณะกรรมการ กบข.ตามสัดส่วนของจำนวนสมาชิกของแต่ละหน่วยงาน และให้นำเงิน กบข.ไปลงทุนในสหกรณ์ของข้าราชการแต่ละประเภทได้ตามความเหมาะสม ทั้ง นี้ จะนำแนวทางดังกล่าวเสนอรัฐสภาเพื่อดำเนินการต่อไป หากไม่ได้รับความเห็นชอบหรือแก้ไขในประเด็นที่ได้ตกลงกันไว้ สมาชิก กบข.ทั่วประเทศกำหนด จะมีการเคลื่อนไหวใหญ่ งดส่งเงินเข้ากองทุน และยกเลิก กบข. โดยคืนเงินให้สมาชิกโดยเร็ว พร้อมให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ดำเนินการกับอดีตเลขาธิการ กบข.และกรรมการทุกคนอย่างเฉียบขาดต่อไป
 


--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!  
http://www.parent-youth.net
http://ilaw.or.th
http://ww2.oja.go.th/home
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.projectlib.in.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.nstda.or.th/th
http://www.arda.or.th
http://www.nppdo.go.th
http://www.tlcthai.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.oknation.net/blog/assistance
http://weblogcamp2009.blogspot.com/

แฉกลเม็ดแสบทรวง จร.กลาง จับใช้หมอง!

ก่อนอื่นก็ขอสวัสดีมิตรรักแฟนคลับผู้ที่ชื่น ชอบติดตามเฝ้าดูพฤติกรรมการทำงานของตำรวจจราจร ภายหลังจากที่เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้แล้วกับ "แฉด้วยภาพ" วันนี้ ทีมงานก็มีเรื่องเบาๆเกี่ยวกับท่านๆที่ปฏิบัติงานดูแลปัญหารถติด โบกรถอำนวยความสะดวกให้ประชาชน( จริงหรอ? )มาเล่าสู่กันฟังเป็นน้ำย่อยผ่อนคลายในวันหยุดสุดสัปดาห์

       
คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
ถนนพหลโยธินระหว่างสวนจตุจักรทั้งเส้นช่องเลนกลาง ที่ตำรวจจราจรกลางเป็นอีแอบปฏิบัติหน้าที่จับรถมอเตอร์ไซด์ที่ขับเข้าเลนกลาง

       เรื่องราวที่เสนอวันนี้ก็คงหนีไม่พ้น"ตำรวจจราจรกลาง"อีก ตามเคยไม่ต้องแปลกใจเลยที่เหตุที่เกิดต้องมาจากตำรวจจราจรกลางแทบทั้งนั้น จริงๆก็ไม่มีเจตนาที่จะนำเสนอ แต่มันอดไม่ได้ที่จะบอกกล่าวถึงพฤติกรรมที่ไม่พึ่งประสงค์ ถ้าจะทำเอาหูไปตาเอานาไปไร่ก็ทำได้ ก็คิดเสียว่าเป็นการทำงานของตำรวจ แต่ในฐานะสื่อขอทำหน้าที่ ไขข้อสงสัยหรือ ตั้งข้อสังเกตหน่อยเหอะ มันน่าแปลกใจไหมตำรวจจราจรกลางชั้นประทวน 2 นาย มาปฏิบัติงานกันลำพังเพียง 2 นาย บนถนนพหลโยธินใต้ล่างสถานีรถไฟฟ้าสวนจตุจักร โดยเฉพาะช่องเลนกลาง ที่มีรถนับร้อยวิ่งราวกับพายุในช่วงเวลาเร่งด่วน ถ้ามองใน แง่ดีพี่ๆเค้าคงมาอำนวยความสะดวกด้านจราจรเป็นแน่ หรือจะมองในแง่ดีขึ้นไปอีกมาตั้งด่านด้านอาชญากรรม และความมั่นคง(ช่วงสายๆนี่นะตั้งด่านความมั่นคง)
        ตั้งข้อสังเกตอย่างแรกเลยงานของตำรวจจราจรกลางสถานที่ทำงานอยู่ริมถนนหรือริมฟุตบาต หรือเรียกแบบบ้านว่า สน.ต้นไม้ ทำตัวเป็น"อีแอบ" หลบสิงสถิตย์ตามต้นไม้เป็นนางไม้แต่ดีนะเนี่ยที่ไม่ได้ติดดอกไม้ข้างหู แต่นี่มีปากกากับใบสั่งเป็นอาวุธคู่กาย คิดอยากจะโดดมาจับรถก็โดด ไม่เกรงกลัวอันตรายที่จะเกิด หรืออาจคิดก้าวกระโดดตำแหน่งทันใจในพริบตาแบบมีธงชาติคลุมหน้าแล้วเลื่อน ขั้น 8 ชั้นยศ
       
       ข้อ สังเกตที่สองไหนมากันเป็นคู่ละ ทุกทีจะตั้งด่านจับจะยกกันมาเป็นโขลง ต้องมีป้ายตั้งกำกับใครคุม แบบนี้สิถึงเรียกว่าตั้งด่านตรวจจับของจริง แต่นี่มากันแค่สอง ที่สำคัญครั้งนี้ถือว่าเด็ดสุดเป็นกลยุทธ์ขั้นเทพ ของ ตำรวจ 2 นายนี้ โดยปกติถนนเส้นนี้เลนกลางจะห้ามมอเตอร์ไซด์เข้า แต่อย่างว่าไม่ได้เข้าข้างสิงห์นักบิดทำผิดก็ต้องจับ แต่ที่บอกว่าพฤติกรรมมันน่าสงสัย เพราะถนนเลนกลางเส้นนี้จะยาวมาก ถ้าเป็นวันอื่นคุณตำรวจจะทำตัวเป็นอีแอบหลบริมฟุตบาตอยู่ต้นๆถนน พอมอเตอร์ไซด์ขับมาเจอก็จะไม่เข้าเลนกลาง เปลี่ยนเส้นทางชิดซ้ายในบัดนาว แต่ก็มีนักขับด้อยประสบการณ์ขับเข้าไปเป็นเหยื่ออันโอชะก็เยอะ ที่สำคัญถนนเส้นนี้ไม่ติดป้ายกำกับไว้ว่าห้ามมอเตอร์ไซด์หรือรถห้ามอื่นเข้า (ถ้าจะกรุณานำมาติดก็จะเป็นพระคุณ)
       

       ครั้ง นี้ที่เจอแกงัดไม้เด็ดหลบมุมอับของถนนอาศัยเหลือบไรต้นไม้คอยปิดบังอำพราง เข้าย้ายจุดจากที่เคยดักจับต้นถนนเปลี่ยนไปอยู่เกือบกลางทางถนน เพื่อไม่ให้รถที่ขี่ผ่านมาเห็นแต่เนิ่นๆ และไม่ต้องกลับรถหนี ดักซุ่มจับรถมอเตอร์ไซด์ได้เป็นกอบเป็นกำ ถือว่ากลยุทธ์นี้สอบผ่าน แต่ทำแบบนี้เพื่ออะไรกันแน่? จึงมีคำถามถามต่อว่า หน้าที่เค้าเหล่านี้คือจับรถที่ผิกกฏใช่ไหม? ไหนมากัน 2 คนละ? ตั้งด่านหรอ? ที่ทำงานอยู่ตรงนี้หรอ? จับทำยอดหรือเปล่า? นี่แหละคือคำถามที่ต้องการคำตอบ
       
       พฤติกรรม ที่นำเสนอในวันนี้ไม่ใช่ต้องการตีแผ่หรือตำหนิการทำงานของเจ้าหน้าที่ แต่ถ้าหากท่านๆกล้ายืนยันว่ามาทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝง ก็ขอบคุณและชื่นชมที่ขยันทำงานไม่เสียใจกับเงินภาษีที่จ่าย และขอโทษถ้าหากเรื่องที่นำเสนอเป็นเรื่องไม่จริง เพราะคนใช้รถใช้ถนนเค้าคงไม่อยากเป็นศัตรูกับตำรวจ
        
       ท้ายสุดสุดท้ายหากกำลังตำรวจ(จราจรกลาง) ของท่านมีเยอะและว่างงานมากจะลองเปลี่ยนแนวจากไล่จับรถมาดูแลตรวจจับรถเมล์ รถร่วมที่ขับรถทับคนตายเป็นว่าเล่นน่าจะดีกว่า เพราะทุกวันนี้ตายจนเป็นข่าวรายวันไปแล้ว หรือไม่ก็ช่วยอำนวยความสะดวกรถติดให้วิ่งคล่องขึ้นจะมีประโยชน์ดีกว่าเสีย อีกคับพี่น้อง..
http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9520000095718
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thanks for visiting!  
http://www.parent-youth.net
http://ilaw.or.th
http://ww2.oja.go.th/home
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://www.projectlib.in.th
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.nstda.or.th/th
http://www.arda.or.th
http://www.nppdo.go.th
http://www.tlcthai.com
http://dbd-52.hi5.com
http://www.oknation.net/blog/assistance
http://weblogcamp2009.blogspot.com/

วันศุกร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ควานหา"ไอ้โม่ง"รุมทึ้งกองทุนประกันสังคม 6 แสนล้าน

วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 20:36:07 น.  มติชนออนไลน์
 


ควานหา"ไอ้โม่ง"รุมทึ้งกองทุนประกันสังคม 6 แสนล้าน

โดย..ประสงค์ วิสุทธิ์

เงินกองทุนประกันสังคมถูกนำไปลงทุนอยู่ในเงินฝาก พันธบัตร ตราสารหนี้และหลักทรัพย์ประเภทต่างๆ  ณ วันที่ 31 มีนาคม 2552 มีมูลค่าเกือบ 600,000 ล้านบาท( 588,955,459,061 บาท) ถือเป็นขุมทรัพย์จำนวนมหาศาลสำหรับผู้มีอำนาจทางการเมือง


ในช่วงที่ผ่านมาจึงมักได้ยินข่าวว่า นักการเมืองพยายามทุกวิถีทางที่จะแสวงหาประโยชน์จากกเงินกองทุนประกันสังคมในรูปแบบต่างๆ อาทิ


@ การทำสัญญาเช่าจัดหาและดำเนินการระบบงานเทคโนโลยีสารสนเทศ(คอมพิวเตอร์)แรงงานของสำนักงานประกันสังคม มูลค่า 2,800  ล้านบาทเมื่อปี 2549 โดยอ้างว่า นำไปใช้ในในการบริหารจัดการเงินกองทุนซึ่งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)มีมติเมื่อวันอังคารที่ 16 มิถุนายน 2552 ว่า การกระทำของนายไพโรจน์  สุขสัมฤทธิ์  อดีตเลขาธิการสำนักงานประกันสังคม(สปส.) มีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง   และมีมูลเป็นความผิดทางอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157


หลังจากนายไพโรจน์ เกษียณอายุราชการได้รับแต่งตั้งเป็นรองหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยเมื่อวันที่14 กุมภาพันธ์ 2552 พรรคดังกล่าวมีนายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีตรับมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเป็นผู้สนับสนุน


@ สปส. ขออนุมัติเงินจากคณะกรรมการประกันสังคม 500 ล้านบาทเพื่อซื้อที่ดินและอาคารวัฏจักร บริเวณ ถนนบรมราชชนนี ตลิ่งชัน กทม. โดยอ้างว่า เพื่อทำเป็นอาคารสำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ 6 และอาคารศูนย์ฝึกอบรม ของ  สปส. แยกเป็นค่าซื้อที่ดินและอาคาร 389 ล้านบาท และค่าปรับปรุงอาคาร 111 ล้านบาท ทั้งที่อาคารดังกล่าวผู้ขายยังไม่ได้รับโอนจากกรมบังคับคดีและซื้อมาในราคาไม่ถึง 200 ล้านบาท


อย่างไรก็ตามตัวอย่างที่ขอกล่าวถึงละอียดเป็นเรื่องการนำเงินกองทุนประกันเกือบ 500 ล้านบาทไปซื้อหุ้นธนาคารไทยธนาคาร จำกัด(มหาชน)หรือ บีที จำนวน 63,159,300 หุ้น มูลค่า479,967,207 บาท(ราคาเฉลี่ยราคาหุ้นละ 7.60 บาท)เมื่อเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน 2549 อย่างมีพิรุธ


จากบันทึกการประชุมคณะกรรมการการลงทุน สำนักงานบริหารการลงทุน สปส.เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ซึ่งมี นายธนาชล สุริยนาคางกูร รองเลขาธิการ สปส.ในขณะนั้นเป็นประธาน ได้อ้างต่อที่ประชุมว่า เลขาธิการ สปส.มีข้อสั่งการงานนโยบายให้ลงทุนในหุ้นสามัญของ บีทีซึ่งปกติการซื้อหุ้นของ สปส.จะเป็นการซื้อมาขายไป แต่การพิจารณาหุ้นบีที เป็นงานนโยบายที่จะซื้อเพื่อให้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่มากกว่า 50% ดังนั้นเมื่อเป็นงานนโยบาย สปส.ก็ควรต้องทำ


"...ในกรณีนี้ผู้บริหารมีนโยบายให้ลงทุนเพราะมีแรงบีบจากสภาและฝ่ายแรงงาน ดังนั้นนโยบายคือให้เราถือหุ้นมากพอที่จะคัดหางเสือแบงก์ แม้จะตกหล่นในระยะแรก แต่ให้ได้บรรลุวัตถุประสงค์ในการตั้งแบงก์และในสัปดาห์หน้าขอให้หยุดซื้อหุ้นทุกตัวโดยให้ซื้อแค่บีทีเท่านั้น"


อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์การลงทุนได้มีบันทึกผลการวิเคราะห์หุ้นบีทีว่า เป็นบริษัทที่มีการทำกำไรที่ค่อนข้างต่ำโดยส่วนต่างดอกเบี้ยเพียง 1.45% ขณะที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่มีส่วนต่างดอกเบี้ยสูงกว่า 3.6% เนื่องจาก บีทีมีต้นทุนในการระดมเงินฝากสูง


ในขณะที่สินเชื่อโอนส่วนใหญ่ที่รับโอนมาจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินมีผลตอบแทนต่ำ ทั้งนี้คาดว่า บีทีจะไม่จ่ายเงินปันผลในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า เนื่องจากยังมีเงินที่ที่ต่ำโดยมีกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเพียง 9.3%(จากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดไว้ 8.5%)


ราคาซื้อขายที่เหมาะสม ตามมูลค่าบัญชีในปี 2549 คาดว่าจะเป็น 6 บาท

 

จากข้อเท็จจริงดังกล่าว คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงกรณี สปส.ได้ใช้เงินกองทุนประกันสังคมซื้อหุ้นบีทีกว่า 60 ล้านหุ้นซึ่งมี นายผดุงศักดิ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นประธานสรุป การลงทุนซื้อหุ้น บีที ว่ามีข้อพิรุธบางประการ ดังนี้


1.การสั่งการงานนโยบายให้ลงทุนในหุ้น บี ที ด้วยเหตุเพราะมีแรงบีบจากสภาและฝ่ายแรงงาน โดยไม่ดำเนินการตามคำแนะนำและความเห็นต่อการลงทุน ตลอดจนรายงานการวิเคราะห์การลงทุนในหุ้น บี ที ของที่ปรึกษาด้านการลงทุน (ผู้จัดการกองทุน) ซึ่งวิเคราะห์โดยอาศัยหลักวิชาการและวิชาชีพตามมาตรฐานการจัดการกองทุนของผู้จัดการกองทุนหรือผู้ทำหน้าที่ที่ปรึกษาการลงทุน


ทั้งๆ ที่บุคคลเหล่านี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน และ สปส.จ้างไว้เพื่อการนี้อาจส่งผลให้กองทุนประกันสังคมมีความเสี่ยงและมีโอกาสที่จะขาดทุนจากการลงทุนซื้อหุ้นได้โดยกรณีการซื้อหุ้น บีที ของ สปส.ต้นทุนเฉลี่ยประมาณ 7.60 บาท/หุ้น แต่ราคาปิด ณ วันที่ 23 มกราคม 2550 อยู่ที่ 4.82 บาท/หุ้น แม้  สปส.ยังไม่ได้ทำการขายหุ้น บีที แต่มูลค่าทางตลาดของหุ้น บีที ก็ลดลง


2.การสั่งการให้ซื้อหุ้น บี ที โดยแจ้งว่า มีนโยบายที่จะซื้อเพื่อถือหุ้นมากกว่าร้อยละ 50 เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ในการเข้าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่เพียงพอที่จะกำหนดนโยบายใน ไทยธนาคาร


 แต่จากข้อเท็จจริงปรากฏว่า ได้ดำเนินการซื้อหุ้น บีที ในช่วงระหว่างวันที่ 23 มกราคม 2549 ถึงวันที่ 21 เมษายน 2549 เท่านั้น โดยไม่ได้มีคำสั่งซื้อขายตราสารทุนในหุ้น บีที อีก ทำให้สปส.ถือครองหุ้น บีที เป็นจำนวนรวม 63,159,300 หุ้น ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 4.23 ของจำนวนหุ้น บีที ทั้งหมด จึงไม่สอดคล้องกับนโยบายที่จะซื้อเพื่อถือหุ้นมากกว่าร้อยละ 50 ตามที่ได้แจ้งให้ที่ประชุมคณะกรรมการการลงทุนทราบเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 แต่อย่างใด


3.การสั่งการให้ซื้อผ่านนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ คือ บริษัท หลักทรัพย์ บี ฟิท จำกัด (มหาชน) แต่เพียงรายเดียว ตามคำสั่งซื้อขายตราสารทุนระหว่างวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2549  ถึงวันที่ 21 เมษายน 2549 โดยไม่สลับใช้นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์รายอื่น อาจเสี่ยงต่อการที่นายหน้า ซื้อขายหลักทรัพย์จะรับทราบถึงรายการซื้อขายหลักทรัพย์หุ้นสามัญที่ต่อเนื่องของกองทุนประกันสังคม


เพราะส่วนใหญ่กองทุนประกันสังคมจะมีการซื้อขายตราสารทุนแต่ละตัวอย่างต่อเนื่องและซื้อเป็นวงเงินหลายสิบล้านบาท ก็จะทำให้นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์รู้ข้อมูลล่วงหน้า และอาจจะส่งผลให้บุคคลภายนอกนำข้อมูลการซื้อขายของ สปส.ไปหาประโยชน์ได้ ซึ่งที่ผ่านมา สปส.ได้วางแผนปฏิบัติโดยกำหนดหลักเกณฑ์การใช้โบรกเกอร์โดยจะสลับใช้นายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ เนื่องจากไม่ต้องการให้โบรกเกอร์แต่ละรายเห็นรายการซื้อขายหลักทรัพย์หุ้นสามัญที่ต่อเนื่องของกองทุนประกันสังคม


4. คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงมีหนังสือถึงเลขาธิการ สปส. เมื่อวันที่ 18 มกราคม 2550 เพื่อขอข้อมูลรายชื่อเจ้าของหุ้น บี ที เดิมก่อนโอนขายให้ สปส. เพื่อตรวจสอบหาความเกี่ยวข้องด้านผลประโยชน์ของเจ้าของหุ้น บีที เดิม แต่ได้รับแจ้งจาก สปส.ว่าอยู่ระหว่างการประสานกับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ถึงความเป็นไปได้ ในการขอข้อมูลเพื่อการตรวจสอบ


อย่างไรก็ตามเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2550 คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงได้มีหนังสือถึงเลขาธิการ สปส.เพื่อขอทราบผลคืบหน้า และได้มีหนังสือถึงกรรมการผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เพื่อขอข้อมูลดังกล่าว แต่จนถึงปัจจุบันยังไม่ได้รับข้อมูลดังกล่าวแต่ประการใด(รายงานผลการสอบข้อเท็จจริงกรณีดังกล่าว ลงวันที่ 22 มีนาคม 2550 ถึงปลัดกระทรวงแรงาน)


จากข้อพิรุธดังกล่าว คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเสนอให้ตั้งคณะกรรมการสอบทางวินัยรองเลขาธิการ สปส.ซึ่งเป็นผู้สั่งการให้ซื้อหุ้นบีที

 

แต่ปรากกว่า หลังจากนั้นคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยแล้วสรุปว่า รองเลขาธิการ สปส.ไม่มีความผิดโดยอ้างว่า เมื่อ สปส.ยังไม่ได้ขายหุ้นบีทีซึ่งมีราคาต่ำกว่าที่ซื้อมา จึงยังไม่เกิดผลขาดทุน


อย่างไรก็ตามมีผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงแรงงานบางคนทำบันทึกเสนอปลัดกระทรวงแรงงานให้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ไต่สวน แต่กลับมีการเก็บเรื่องเงียบ ทั้งๆที่มีข้อพิรุธที่น่าจะต้องทำให้กระจ่างคือ

 

หนึ่ง นโยบายในการสั่งซื้อหุ้นบีทีเกือบ 500 ล้านบาทในราคาที่สูงกว่าที่ควรจะเป็นและไม่สนใจเรื่องความเสี่ยงสูง เป็นคำสั่งของใครมาจากไหน เป็นของเลขาธิการ สปส.หรือมีผู้มีอำนาจทางการเมืองที่สูงกว่าเลขาธิการ  สปส.


สอง ทำไมจึงสั่งซื้อหุ้นบีทีผ่านบริษัท หลักทรัพย์ บี ฟิท จำกัด เพียงรายเดียว บริษัทดังกล่าวมีสายสัมพันธ์กับผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงแรงงานหรือมีสายสัมพันธ์กับผู้อำนาจทางการเมืองที่ครอบงำกระทรวงแรงงานรายใดหรือไม่


สาม ปกติการเข้าซื้อหุ้นธนาคารพาณิชย์เพื่อให้เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และมีอำนาจบริหาร ต้องขออนุมัติจากธนาคารแห่งประเทสไทยโดยเฉพาะจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินต้องขออนุมัติจากกระทรวงการคลังด้วย ซึ่งต้องมีการเจรจาถึงราคาและสัดส่วนการถือครองหุ้น ไม่ใช่การไล่ซื้อหุ้นในตลาด  ดังนั้นมติที่อ้างว่า ต้องการเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน บีที 50% จึงบมีพิรุธอย่างยิ่ง


ถ้ากระทรวงแรงงานยังไม่สามารถทำเรื่องนี้ให้กระจ่างและปล่อยให้เรื่องเงียบหายเหมือนที่ผ่านๆมา คงไม่มีทางหยุดการรุมทึ้งเงินเกือบ 600,000 ล้านบาทได้ง่ายๆ



--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/

เจ้าพ่อจัสมิน เศรษฐีหุ้นไทย ผู้พิชิตความสำเร็จสไตล์"อดิศัย" วันนี้ ..ลี้ภัยการเมืองสู่อเมริกา!!

ก่อนหน้า


วันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 14:53:58 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ [อ่านล่าสุด 1831 คน]

เจ้าพ่อจัสมิน เศรษฐีหุ้นไทย ผู้พิชิตความสำเร็จสไตล์"อดิศัย" วันนี้ ..ลี้ภัยการเมืองสู่อเมริกา!!

ย้อนอดีต"อดิศัย โพธารามิก" อดีตรมว.พาณิชย์ เจ้าพ่ออาณาจักรจัสมิน เศรษฐีหุ้นไทย จากยุครุ่งเรืองในไทยรักไทย และตกต่ำหลังรัฐประหาร 19 กันยาฯ2549 สุดท้ายต้องหลบลี้หนีภัยการเมืองไปอเมริกาหลังคดีทุจริตกล้ายาง

 17  สิงหาคม เวลา 14.00 น.  เป็นวันนัดอ่านคำพากษาทุจริตการจัดซื้อต้นกล้ายางพาราของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่มีนายบุญรอด ตันประเสริฐ เป็นเจ้าของสำนวน


   จำนวนทั้ง 43 คนไม่ว่า  จะเป็น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี  นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง, นายสรอรรถ กลิ่นประทุม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์   รวมบริษัท เจริญโภคภัณฑ์ เมล็ดพันธุ์ จำกัด บริษัท รีสอร์ตแลนด์ จำกัด ผู้ร่วมเสนอราคา  บริษัท เอกเจริญ การเกษตร จำกัด ต่างมาถึงศาลฎีกาฯ ตามกำหนดนัด


   คนที่ถูกจับตามากที่สุด คือ นายเนวิน ชิดชอบ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มาถึงศาล ตามคำมั่นสัญญาว่า "ผมไม่หนีไปไหน"


    แต่จำเลยคนที่หายไปคือ  ดร. อดิศัย โพธารามิก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์  หนึ่งในกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.)


   ทนายของนายอดิศัย  ยื่นคำร้องว่า ได้รับการติดต่อจากนายอดิศัย ผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอ นิกส์ หรืออี-เมล ว่า นายอดิศัยเดินทางไปรักษาอาการบาดเจ็บกระดูกสันหลัง ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา


   เช่นเดียวกับ คดีหวยบนดิน นายอดิศัย ได้เคยยื่นคำร้องต่อศาล ให้ศาลอ่านคำพิพากษาลับหลังจำเลยมาแล้ว
   ศาลฎีกาฯ  สั่งแบบดุๆ ว่า    เมื่อศาลกำหนดนัดไว้ล่วงหน้าแล้ว หากนายอดิศัย มีความจำเป็นต้องรักษาตัวก็ควรแจ้งให้ศาลทราบล่วงหน้า   ไม่ใช่ยื่นคำร้องในวันอ่านคำพิพากาษา    พฤติการณ์แสดงว่า นายอดิศัยจงใจจะหลบหนีไม่มาฟังคำพิพากษา และผิดสัญญาประกัน จึงมีคำสั่งให้ปรับนายประกัน 1 ล้านบาท และออกหมายจับนายอดิศัย มาฟังคำพิพากษา ในวันที่ 21 กันยายน   เวลา 14.00 น. 


     นายเจษฎา อนุจารีย์ ทนายความของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ( ป.ป.ช.  ) เชื่อว่า หากนายอดิศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกาเพื่อรักษาตัว ตามที่กล่าวอ้างต่อศาลจริง ก็คงไม่ใช่เรื่องยาก เพราะสหรัฐอเมริกากับไทยมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างกัน
   ไม่น่าเชื่อว่า ชะตากรรม ของ อดิศัย ในวัยเฉียด 70 ปี  จะต้องประสบวิบากกรรมแบบเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  อดีตนายกรัฐมนตรี วัย 60 ปี


   วันนี้ ทักษิณ ผลุบๆ โผล่ ๆ แถวตะวันออกกลางและแอฟริกา  ขณะที่ อดิศัย  นอนเจ็บสันหลังอยู่ที่สหรัฐอเมริกา
   หากเปรียบเทียบ เส้นทางชีวิตของ 2 เจ้าพ่อโทรคมนาคม  จะพบว่า มีสิ่งที่เหมือนกันหลายประการ  พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร  ใช้กลยุทธ์ ตาดูดาวเท้าติดดิน  พลิกจากธุรกิจเช่าคอมพิวเตอร์เล็ก ๆ จนกลายมาเป็นธุรกิจโทรคมนาคมมีมูลค่านับแสนล้าน  ขณะที่ อดิศัย โพธารามิก คือ  ผู้ก่อตั้ง บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล 


    อดิศัย เมื่อวันวานคือ  ดีลเมกเกอร์ชั้นเยี่ยม  ผู้คว้าโครงการโทรศัพท์ต่างจังหวัด 1.5 ล้านเลขหมาย โครงการสื่อสารภายในประเทศด้วยดาวเทียม (TDMA) ระบบสื่อสารเพื่อบริการธุรกิจผ่านดาวเทียม (ISBN) และเคเบิลใยแก้วใต้น้ำ
   ถ้าทักษิณคือผู้สร้างอาณาจักร ชินคอร์ป อดิศัยก็คือ ผู้สร้างอาณาจักร   ทีทีแอนด์ทีและจัสมิน    แม้ว่า วันนี้ ทีทีแอนด์ที จะอยู่ในกระบวนการฟื้นฟูกิจการก็ตาม 


   หลายปีก่อน   Who "s Who in Business & Finance  จะต้องมีชื่อ อดิศัย อยู่ใน รายชื่อเศรษฐีหุ้นไทย อันดับต้นๆ
   เช่นเดียวกับการจัดอันดับ ตระกูล เศรษฐีหุ้นไทย ของ  นิตยสาร การเงินธนาคาร จัดอันดับ ตระกูลโพธารามิก รวยหุ้นในอันดับ 17  ในปี 2546  ขณะที่ตระกูลชินวัตรอยู่ในอันดับ TOP 5   หลายปีติดต่อกัน
   เมื่อวันที่ อดิศัย นั่งเก้าอี้ รมว.กระทรวงศึกษาธิการ   ความร่ำรวยและมั่งคั่งของตระกูลโพธารามิก ก็ไปปรากฏอยู่ในชื่อของ พิชญ์ โพธารามิก ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของ อดิศัย


   วันนั้น พิชญ์ ถือหุ้น จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS )  27.23 %  ไม่นับรวมหุ้น วอร์แรน  JAS-W  41.45 % รวมแล้ว ยอดคุณลูก รวยกว่า 2,600 ล้านบาท


   พิชญ์  ซีอีโอ. จัสมิน เคยกล่าวว่า   เครือจัสมินยุคใหม่ จะไม่เหมือนเมื่อ 10 ปีก่อนที่พ่อบริหารงานอยู่ จากนี้ไปจัสมิน จะห้นมารุกงานโครงข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง (บรอดแบนด์) อย่างจริงจัง จากเดิมที่เป็นเพียง "เสือนอนกิน" งานสัมปทานของภาครัฐบาล


   จริงอย่างที่ หนุ่มพิชญ์ กล่าวทุกประการ เพราะทั้งทักษิณและยอดคุณพ่อ อดิศัย ต่างหากินกับสัมปทานของรัฐบาล โดยสร้างสายสัมพันธ์ผ่านองค์การโทรศัพท์ฯและคอนเนกชั่นทางการเมือง  ถ้าทักษิณ เคยหิ้วกระเป๋าเจมส์บอนด์เข้าทำเนียบรัฐบาล  อดิศัย ก็เดินเข้าออกซอยราชครู เสมือนบ้านหลังที่สอง


      ความสำเร็จของ อดิศัย ในการคว้าโครงการสื่อสารภายในประเทศด้วยดาวเทียม (TDMA) และระบบสื่อสารเพื่อบริการธุรกิจผ่านดาวเทียม (ISBN) และเคเบิลใยแก้วใต้น้ำ
 ล้วนเกิดขึ้นในยุคของ พล.อ. ชาติชาย ชุณหะวัณ เป็นนายกรัฐมนตรี  เพราะใครก็รู้ว่า  คอนเนกชั่นระหว่าง อดิศัย กับ น้าชาติ แน่นปึ๊ก  


  สายสัมพันธ์นี้ยังทอดยาวมาจนถึง วันที่พรรคชาติพัฒนาที่ได้โควตากระทรวงคมนาคมในรัฐบาลของ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ
   "ดิเรก เจริญผล" อดีตรองผู้อำนายการองค์การโทรศัพท์ฯ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ผู้รับผิดชอบองค์การโทรศัพท์ฯ และการสื่อสารฯ ก็คือ เพื่อนซี้ของอดิศัย
   รวมทั้งการนั่งในตำแหน่งประธานกรรมการบอร์ด ทศท. ของ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล  ก็มาจากการวางตัวของอดิศัยเช่นกัน


    บนเส้นทางธุรกิจการเมือง  อดิศัย เข้ามาสัมผัสการเมือง เป็นครั้งแรก  เมื่อเข้านั่งเป็นที่ปรึกษาเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมให้กับคุณหญิงเลอศักดิ์ สมบัติศิริในยุค รัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร  ช่วงปี 2520-2521 แม้จะเป็นช่วงสั้น ๆ   แต่ก็นับว่าคุ้มค่าอย่างมากในเวลาต่อมา
   เจ้าพ่อจัสมิน  นั่งเป็นรัฐมนตรีครั้งแรกในรัฐบาลชวน หลีกภัย  ในโควต้าของพรรคชาติพัฒนา  และติดลมบนเรื่อยมาในรัฐบาลไทยรักไทย


   ในยุคที่ อดิศัย นั่งเป็นคุณครูอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ ฝ่ายค้านได้รุมยำ ครูอดิศัย ว่า ทำข้อสอบเข้ามหาวิทยาลัยรั่ว จนต้องมีการสั่งสอบกันวุ่นวายไปหมด
   แต่ช่วงเวลาที่เกิดคดีทุจริตกล้ายาง เป็นช่วงที่ อดิศัย นั่งเป็นรมว.กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะหนึ่งในกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) ทำให้ติดบ่วงร่วมไปกับจำเลย 44 คน


    จุดหักเห สำคัญ  เกิดขึ้น หลังรัฐประหาร วันที่ 19 กันยายน 2549 จากนั้น ชื่อของ อดิศัยก็ค่อยๆ หายไปจากวงการ  2  ปีก่อน อดิศัย มีผลงานหนังสือ เรื่อง  พิชิตความสำเร็จสไตล์ ดร.อดิศัย โพธารามิก
     อดิศัย โฆษณาว่า   "หนังสือเล่มนี้...ไม่ใช่หนังสือที่นำเสนอประวัติส่วนตัวของผม แต่เป็นเรื่องการทำงานในด้านต่าง ๆ ที่ผมทำจนประสบผลสำเร็จและได้ผลเป็นรูปธรรม...ผมคิดและลงมือแก้ปัญหาต่าง ๆ ด้วยตัวเอง ที่สำคัญ ผมใส่ความจริงใจในการแก้ปัญหาทุก ๆ เรื่อง"


     จะว่าไป ความสำเร็จของอดิศัยอีกด้านหนึ่งอาจวัดได้จากความร่ำรวย  ดังเห็นได้จาก บัญชีทรัพย์สินครั้งหลังสุด หลังพ้นจากตำแหน่งรมว.ศึกษาธิการ 2 สิงหาคม 2548 ครั้งนั้น  อดิศัย ยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ต่อคณะกรรมการป.ป.ช. ว่ามีทรัพย์สินทั้งสิ้น   212,392,666 บาท
     แบ่งเป็น เงินฝาก 15 บัญชี รวม 86,696,298 บาท  บ้านและสิ่งปลูกสร้างรวม 3 หลัง มูลค่ารวม 35,650,000 บาท รถยนต์ 1 คัน 1.95 ล้านบาท


     แต่สินทรัพย์ที่นายอดิศัยมีมากไม่แพ้รัฐมนตรีคนไหนในรัฐบาลทักษิณก็คือ  ที่ดิน จำนวน 44 แปลง  508 ไร่  มูลค่ารวม 88,096,368 บาท  ที่ดินจำนวนมากอยู่ในต. เขาขลุง อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี และ ต.โป่งแยง อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่  รวมถึงที่ดินในต.ห้วยไคร้ อ.แม่สาย จ.เชียงราย  ต.ลาดตะเคียน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี  ต.ท่าชนะ อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี และต.โพธาราม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี


    ขณะที่ภรรยา นางพิชนี มีทรัพย์สินทั้งสิ้น  11,720,305 บาท  ได้แก่ เงินฝาก 8 บัญชี รวม 8,078,938 บาท  เงินฝากในสถาบันการเงินอื่นๆ อีก 2,717,006  บาท  เงินลงทุนสหกรณ์ออมทรัพย์ข้าราชการจุฬาฯ 164,360 บาท  ที่ดิน 2 แปลง 4 ไร่ ในต.แหลมบัว อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม มูลค่ารวม 360,000 บาท  และรถยนต์ 1 คัน มูลค่า 4 แสนบาท 


       วันนี้ชื่อของ อดิศัย จะไม่ติดอันดับเศรษฐีหุ้นไทยเช่นในอดีต   อดิศัยเองอาจไม่เสียใจเท่ากับ การที่ตนเองมีชื่ออยู่ในหมายจับของศาลฎีกาฯ
       มีเรื่องเล่าว่า  ในวันนัดอ่านคำพิพากษา วันที่ 17 สิงหาคม นักข่าวการเมือง ถามนายเนวินว่า นายอดิศัย ไม่มาฟังคำพิพากษา เพราะรู้ว่าคำพิพากษาจะออกมามีความผิดและต้องรับโทษใช่หรือไม่ ?
       นายเนวิน ตอบว่า " ไม่ทราบ เรื่องนี้ต้องไปสอบถามกับท่านอดิศัยเอาเอง "
      จริงๆ แล้ว หากทายใจเจ้าพ่อจัสมิน  ก็คงอยากให้ศาลฎีกาฯ อ่านคำพิพากษาลับหลังไปเลย แล้วค่อยตัดสินใจอีกทีกับชีวิตว่า จะเอาเยี่ยงทักษิณหรือไม่ ?

                                                   http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1250582229&grpid=01&catid=00


--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ล้มสัญญาเช่าเอกชนฟื้นสนามหลวง 2


ล้มสัญญาเช่าเอกชนฟื้นสนามหลวง 2

ข่าววันที่ 16 สิงหาคม 2552 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

 

** กทม.ลุ้นสายตรงเจ้าของที่ / โต้ตลาดป๊อปต้องใช้เวลา

 

            นางนินนาท  ชลิตานนท์ รองปลัดกทม.กล่าวถึงปัญหาการบริหารงานตลาดนัดธนบุรี(สนามหลวง 2) ว่า ปัจจุบันเกิดปัญหาระหว่างผู้ค้ากับตลาดโดยผู้ค้าอ้างว่ากทม.ไม่ช่วยประชาสัมพันธ์ทำให้ค้าขายไม่ดีทำให้ผู้ค้าเกิดความเดือดร้อน กทม.ในฐานะที่กำกับดูแลได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาตามอำนาจหน้าที่ที่สามารถทำได้แล้ว แต่สืบเนื่องจากตลาดสนามหลวง 2 เดิมตั้งแต่แรกเริ่มจนถึงปัจจุบันกทม.ไม่ได้จัดการดูแลเพียงผู้เดียวกทม.เป็นผู้เช่าช่วงต่อจากบริษัท ไทยเทวราช จำกัด ซึ่งเช่ามาจากเจ้าของที่อีกต่อ ทำให้การบริหารจัดการมีปัญหามาตลอด 

            นอกจากปัญหาระหว่างผู้ค้ากับตลาดแล้ว ยังมีปัญหาเรื่องค่าเช่าที่ที่บริษัท ไทยเทวราช ค้างชำระกับเจ้าของที่ซึ่งยังตกลงกันไม่ได้ เป็นเรื่องที่เจ้าของที่จะต้องไปฟ้องร้อง แต่ในส่วนกทม.ได้ชำระค่าเช่าที่ให้บริษัทฯ มาตลอดมีหลักฐานชัดเจน ซึ่งกทม.ได้มีโอกาสหารือกับเจ้าของที่เพื่อขอเช่าที่โดยตรงไม่ผ่านบริษัทฯ เจ้าของที่ก็เห็นด้วยกับข้อเสนอของกทม.รับไปพิจารณา หากตกลงตามข้อเสนอนี้ก็ต้องทำเรื่องขอยกเลิกสัญญากับบริษัทฯก่อนจึงจะทำสัญญาตรงกับกทม.ได้ จากนั้น กทม.จะทำแผนพัฒนาตลาดให้เป็นที่รู้จักนิยมของประชาชนและนักท่องเที่ยว อาจขอเช่าพื้นที่ไม่ทั้งหมดแต่อาจทำบางส่วนก่อนแล้วขยายพื้นที่ต่อไป หากได้รับความนิยม

            ด้านนายพงษ์พจน์  พิมพ์สมฤดี ผอ.สำนักงานตลาดกทม.กล่าวว่า สำนักงานตลาดไม่ได้ทอดทิ้ง หนำซ้ำที่ผ่านมาก็เร่งรัดพัฒนาปรับปรุงตลาดสนามหลวง 2 ให้เป็นที่รู้จักอย่างต่อเนื่อง โดยได้พัฒนาหลายด้าน เช่น ติดป้ายประชาสัมพันธ์บอกทางเข้าถึงตลาดรอบๆ บริเวณจำนวน 100 ป้าย ทำโรดโชว์ที่ตลาดท่องเที่ยวและจังหวัดใกล้เคียง ซึ่งจะขยายผลต่อไปในวงกว้างมากขึ้น รวมทั้งจัดกิจกรรมชักชวนประชาชนเข้าไปจับจ่ายเป็นระยะทำให้การค้าขายกระเตื้องขึ้นบ้าง แต่จะให้คึกคักเหมือนตลาดนัดจตุจักรในปัจจุบันนั้นคงต้องใช้เวลา

            "ด้วยข้อจำกัดและในการดำเนินการตั้งแต่อดีตที่ทำให้ตลาดไม่ได้รับความสนใจจากประชาชนเท่าที่ควร อีกทั้งตลาดสนามหลวง 2 กว้างมากถึง 80 ไร่ มากกว่าตลาดนัดจตุจักรถึง 4 เท่า และตลาดนัดจตุจักรเกิดขึ้นมานานกว่า 10 ปี มีการพัฒนามาเป็นลำดับจนเป็นที่รู้จักแพร่หลายระดับชาติ ขณะที่ตลาดสนามหลวง 2 เกิดมาเพียง 4-5 ปี เท่านั้น"

            ผอ.สำนักงานตลาดฯ กล่าวว่า หากบริหารจัดการอย่างมีระบบก็น่าจะพัฒนาจนเป็นที่รู้จักได้ในอนาคต สำหรับผู้ค้าซึ่งประสบปัญหา ตลาดพยายามช่วยเหลือ แต่ทุกอย่างต้องทำตามระเบียบขั้นตอนที่กำหนด หากต้องการย้ายแผงไปอยู่ในที่การค้าขายคึกคัก ก็ต้องจัดการหนี้สินที่ค้างกับกทม.ก่อน โดยให้ผ่อนเป็นงวดๆ ยังมีบางส่วนที่ไม่ยินยอมเป็นปัญหาอยู่ ซึ่งต้องแก้ปัญหาต่อไป

 

 
  รูปประกอบข่าว
http://www.siamrath.co.th/UIFont/NewsDetail.aspx?cid=62&nid=44324

--
      Weblink
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"วุฒิสภา"ยอมผ่านร่างพ.ร.บ.กู้ 4 แสนล้านง่ายดาย คะแนนท่วม 110 ต่อ 21 ส.ว.แฉมีแบ่งเค้กงบ 3.2 หมื่นล้านไว้แล้ว

วันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 14:40:20 น.  มติชนออนไลน์

"วุฒิสภา"ยอมผ่านร่างพ.ร.บ.กู้ 4 แสนล้านง่ายดาย คะแนนท่วม 110 ต่อ 21 ส.ว.แฉมีแบ่งเค้กงบ 3.2 หมื่นล้านไว้แล้ว

"มาร์ค-กรณ์"โล่งอก สมาชิกวุฒิสภายอมผ่านร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 4 แสนล้านเรียบร้อยแล้ว ด้วยคะแนน 110ต่อ 21 เสียง งดออกเสียง 9 ไม่ลงคะแนน 1 ก่อนมีมติตั้งกมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง 27 คน "กอร์ปศักดิ์-เรืองไกร"ร่วมด้วย กำหนดแปรญัตติ 7 วัน ส.ว.แฉมีการแบ่งสรรงบ3.2หมื่นล้านไว้แล้ว ยังไงก็เหมืนเอาสมาชิกสภาสูงเป็นตัวประกัน

 ส.ว.ค้านกม.กู้4แสนล.-แฉหักหัวคิว


ขณะที่นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา เป็นประธานการประชุมวุฒิสภา เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ห้องประชุมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ... ในวาระที่ 1 วงเงิน 4 แสนล้านบาท ทั้งนี้ นายประสพสุขแจ้งต่อที่ประชุมว่ามีผู้แสดงความจำนงขออภิปราย 61 คน โดยใช้เวลาการอภิปรายไม่เกินคนละ 10 นาที


จากนั้น นายมณเฑียร บุญตัน ส.ว.สรรหา อภิปรายว่า รัฐบาลเสนอร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ในช่วงที่ไม่เหมาะสม เพราะเศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวกว่าที่เป็นอยู่ แต่รัฐบาลดำเนินการคล้ายกับว่ากำลังจะบริหารราชการแผ่นดินในสภาวะที่ไม่เป็นปกติ นอกจากนี้ กว่าจะใช้เงินจาก พ.ร.บ.ฉบับนี้ก็อีก 2-3 ปีข้างหน้า จึงไม่จำเป็นในการกู้เงินในขณะนี้ การเสนอเช่นนี้ทำให้โอกาสในการตรวจสอบการใช้เงินมีน้อยมาก มีความมั่นใจได้อย่างไรว่ารัฐบาลจะใช้งบประมาณมหาศาลนี้ให้เกิดความเป็นธรรมกับประชาชนทุกคนโดยไม่มีการเลือกปฏิบัติหรือกีดกันประชาชนบางกลุ่ม


นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ส.ว.ราชบุรี กล่าวว่า การกระจายงบประมาณที่ผ่านมามีการเร่ขายและเรียกรับผลประโยชน์ร้อยละ 10-20 โดยเฉพาะจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นที่มีการเฉลี่ยงบประมาณให้ ส.ส. 400 คน คนละ 25 ล้านบาท รวมเป็นประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท โดยเอาไปฝากไว้ที่กรมส่งเสริมฯและให้หน่วยงานทำเรื่องเบิกจ่ายตามสายงาน


 อีกกลุ่มเชียร์ให้รับอ้างเพื่อแก้ไข


นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา อภิปรายว่า การใช้เงินจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 4 แสนล้านของรัฐบาลที่ผ่านมา หลายโครงการมีข้อน่ากังวล โดยเฉพาะปัญหาในโครงการชุมชนพอเพียง และยังพบข้อสงสัยในการปรับปรุงรถไฟจำนวน 6,000 ล้านบาทด้วย ไม่ทราบว่างบประมาณในส่วนนี้สอดคล้องกับโครงการรถไฟรางคู่ด้วยหรือไม่ จึงเห็นว่าหากวุฒิสภาไม่รับร่างไว้พิจารณาก็จะเสียโอกาสที่จะแก้ไขกฎหมาย หากวุฒิสภาไม่รับร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้จะทำให้กฎหมายถูกส่งกลับไปยังสภาผู้แทนราษฎร ซึ่ง พ.ร.บ.ฉบับนี้ถือเป็นกฎหมายการเงิน ทำให้อาจมีการยกขึ้นมาได้ทันที ดังนั้น ส.ว.จะไม่ต่างอะไรกับฝ่ายค้านหากวุฒิสภารับวาระที่ 1 ไว้ไม่ได้หมายความว่าวุฒิสภาเห็นด้วย แต่รับไว้เพื่อแก้ไขในชั้นกรรมาธิการ วุฒิสภามีเวลาแก้ไขถึง 45 วัน เชื่อว่าวุฒิสภาแห่งนี้จะสามารถทำประโยชน์ให้ประเทศชาติได้อย่างแน่นอน

 

"ถ้าสภาแห่งนี้ไม่รับร่างจะเสียประโยชน์เป็นอย่างยิ่งเพราะเหมือนกับว่าเราปฏิบัติหน้าที่ไม่เต็มที่ ที่ผ่านมาไม่เคยมี ส.ว.มีโอกาสพิจารณาเกี่ยวกับกฎหมายการเงิน และสามารถแก้ไขได้ จึงถือเป็นโอกาสดีที่วุฒิสภาจะตรวจสอบและปรับปรุงในฐานะสภาอาวุโส" นายไพบูลย์กล่าว


 หวั่นปัญหา "เยอะ-ยาว-ยุ่ง-แย่"


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดช่วงบ่าย บรรดา ส.ว.ลุกขึ้นอภิปราย เนื้อหาคล้ายคลึงกัน โดยระบุว่า รัฐบาลไม่มีแผนงานการใช้เงินที่ชัดเจน การใช้เงินในลักษณะนี้เกรงว่า จะขาดการตรวจสอบ อาทิ นายจำนงค์ สวมประคำ ส.ว.สรรหา อภิปรายว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เป็นการใช้เงินที่ไม่ผ่านระบบรัฐสภา การดำเนินการเช่นนี้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่

 

นางนฤมล ศิริวัฒน์ ส.ว.อุตรดิตถ์ กล่าวว่า คณะกรรมการกลั่นกรองโครงการตามแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งน่าโดนตำหนิ เพราะมีหลายโครงการที่เสนอมาแล้วไม่มีเหตุผลพอ แต่คณะกรรมการกลั่นกรองก็ยังให้มีโครงการอยู่ ทั้งที่ขาดวัตถุประสงค์ ระยะเวลาการดำเนินการ การประเมินผลที่คาดว่าจะได้รับ ส่วนตัวคิดว่า เป็น 4 ย. คือ 1.เยอะคือ กู้จำนวนเยอะ 2.ยาวคือ ไม่รู้จะใช้หนี้หมดเมื่อไหร่ 3.ยุ่ง เพราะตรวจสอบยาก 4.แย่ คือจะเกิดกับรัฐบาลที่จะเข้ามาบริหารต่อไป

 

"กอร์ปศักดิ์" การันตี "โปร่งใส"


จากนั้น นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ชี้แจงว่า แม้ว่าแนวโน้มเศรษฐกิจจะดีขึ้นจริง แต่เป็นการดีขึ้นจากสิ่งที่เลวในอดีต ทำให้จากเศรษฐกิจไม่ดี กลายเป็นไม่ดีน้อยลงเท่านั้น ขอยืนยันในเรื่องความโปร่งใส เพราะถึงจะเป็นเรื่องการจ่ายเงินนอกงบประมาณ แต่การออกเป็น พ.ร.บ. ครั้งนี้ก็เพื่อให้มีการตั้งกรรมาธิการขึ้นมาตรวจสอบสำหรับเงิน 4 แสนล้านบาท ในการลงทุนระยะกลางและระยาว


"กรณ์" ขออย่ากังวลอ้อนส.ว.ผ่าน


ต่อมาเวลา 16.45 น. นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ชี้แจงว่า อิทธิพลของส.ว.มีมากต่อการทำงานของรัฐบาล ก่อนหน้านี้ที่ส.ว.ติงเรื่องเงินกู้ รัฐบาลก็ไปทำรายละเอียดให้ชัดเจนขึ้นแล้ว 2 รอบ ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ได้แก่ เร่งการกลั่นกรองโครงการ เร่งออกระเบียบการใช้เงิน โดยจะเอาไปใช้ในโครงการอื่นๆหรือโยกงบข้ามกระทรวง ข้ามหน่วยงานไม่ได้ และการประเมินโครงการว่า มีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจระดับมหภาคและช่วยเหลือประชาชนได้จริงหรือไม่ ตนไปประมาณ 10 จังหวัดในช่วงที่ผ่านมา พบความหลากหลายในความต้องการใช้งบประมาณ เช่น เรื่องการขยายโรงพยาบาลที่สุราษฎร์ธานี การบูรณะสถานที่ท่องเที่ยวที่สุโขทัย การสร้างเขื่อนกันน้ำท่วมที่เชียงใหม่ เป็นต้น ยังไม่นับถึงระบบชลประทานที่เกษตรกรต้องการ

 

นายกรณ์ กล่าวว่า สัญญาณเศรษฐกิจที่เริ่มที่จะดีขึ้น เป็นเพียงสัญญาณ โดยสัญญาณนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเอกชนเริ่มมั่นใจบทบาทรัฐบาลที่จะทำในครึ่งปีหลังซึ่งก็มาจากแผนไทยเข้มแข็งนั่นเอง มีนักวิชาการหลายคนมองเป็นบวก อาทิ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรมว.คลัง ให้สัมภาษณ์เมื่อปลายเดือนกรกฎาคม เห็นว่า ครึ่งปีหลังแผนไทยเข้มแข็งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เป็นต้น ทั้งนี้ สำหรับขั้นตอนต่อไปของแผนไทยเข้มแข็ง ภายในอาทิตย์หน้า สำนักงบประมาณจะเสนอแผนต่อครม. จากนั้นจะมาพิจารณารายละเอียดโครงการอีกครั้ง แล้วจึงจะเสนออนุมัติงบเพื่อดำเนินการใช้เงินทำโครงการได้ ส่วนเรื่องการตรวจสอบโครงการ ตั้งแต่ขั้นประมูล ราคากลางที่จะใช้ในการประมูลนั้น สำนักงบฯเป็นผู้คำนวณ ฉะนั้นไม่แตกต่างจากระบบปกติ จึงสบายใจได้ แม้ส.ว.บางคนจะมองว่า เปลี่ยนรัฐบาลแล้วจะทำอย่างไร แต่เรื่องนี้ไม่มีปัญหาเพราะโครงการที่อนุมัติไปแล้วไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีก และไม่ต้องกังวลเรื่องล็อคสเปค ส่วนถ้าเงินเหลือก็ต้องคืนคลัง ฉะนั้นขอให้มั่นใจในเจตนาของรัฐบาล และพิจารณาให้ผ่านร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้

 

 

..แฉ เงินกู้ 4 แสนล้าน แบ่งเค้กเรียบร้อยแล้ว

นายตวง อันทะไชย ส..สรรหา กล่าวว่า ส..หลายคนเห็นปัญหาของการจัดทำงบประมาณแบบนี้ และร่างพ...นี้เปรียบเหมือนร่างกาย แต่พ...ที่ผ่านวุฒิสภาก่อนหน้านี้เปรียบเหมือนหัวใจ อย่างไรก็ดี อีกด้านหนึ่งก็มีเบาะแสว่า มีงบจำนวน 3.2 หมื่นล้าน มีการแบ่งสรรโครงการกันไว้แล้ว ซึ่งหากวุฒิสภา ไม่ให้ผ่านในวาระ 1 ตามรัฐธรรมนูญ สภาผู้แทนราษฎรสามารถหยิบขึ้นมายืนยันได้ทันที ก็จะไปเข้าทางบางฝ่าย สรุปแล้วสถานการณ์นี้เหมือนจับวุฒิสภาเป็นตัวประกัน ฉะนั้น ขอเสนอให้หากรับร่าง ในชั้นกรรมาธิการ ขอพิจารณาโครงการ เพื่อการตรวจสอบไม่ให้งบประมาณรั่วไหล

 

 


รายงานข่าวจากส..แจ้งว่า สำหรับท่าทีของบรรดาส..ในช่วงค่ำก่อนการลงมติร่างพ... ปรากฏว่า ไม่คึกคักเหมือนวันที่วุฒิสภาพิจารณาพ...กู้เงิน 4 แสนล้านบาทที่มีการล็อบบี้จากฝ่ายรัฐบาล และส..ที่ไม่เห็นด้วยอย่างหนัก โดยบรรยากาศนอกห้องประชุมบริเวณห้องรับประทานอาหารของสมาชิก ไม่มีรัฐมนตรีเดินเข้ามาขอเสียงสนับสนุนจากส.. โดยฝ่ายรัฐบาลที่อยู่ที่รัฐสภาในช่วงค่ำ มีเพียง นายอภิสิทธิ์ นายกรณ์ นายกอร์ปศักดิ์ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส..นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล)

 

 

คาด สภาสูง รับร่างไปแปรญัตติ


ข่าวแจ้งว่า ขณะที่ท่าทีของส.. หลายคนแม้จะไม่เห็นด้วยกับร่างพ... แต่คาดว่า วุฒิสภาจะลงมติรับหลักการร่างไปก่อนเพื่อตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณา โดยมีการเตรียมกมธ.ไว้แล้ว จำนวน 27 คน เพื่อที่จะแปรญัตติ ให้ใกล้เคียงกับร่างพ...งบประมาณรายจ่ายประจำปีให้มากที่สุด คือ ให้มีรายละเอียดของโครงการและหน่วยงานที่รับผิดชอบ เพื่อตรวจสอบงบประมาณของแต่ละโครงการก่อนอนุมัติ ซึ่งอาจให้ รมว.คลัง และผอ.สำนักงบประมาณ มาร่วมเป็นกมธ.วิสามัญด้วย ทั้งนี้ หากรัฐบาลไม่ยินยอมให้แก้ไข วุฒิสภายังสามารถโหวตไม่เห็นชอบได้ในวาระ 3 ขณะที่หากไม่เห็นชอบร่างในวาระแรก รัฐบาลสามารถนำเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรให้ยืนยันร่างได้ทันทีเนื่องจากเป็นกฎหมายเกี่ยวด้วยการเงิน ซึ่งส..หลายคนเห็นว่า อาจไปเข้าทางพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรค ที่ได้เตรียมโครงการและเตรียมเซ็นสัญญาโครงการไว้แล้วทันทีที่เริ่มปีงบประมาณใหม่วันที่ 1 ตุลาคม 2552 ทำให้ส..ยังปรึกษากันว่า หากผ่านร่างพ...ฉบับนี้จนกฎหมายมีผลบังคับใช้ วุฒิสภาอาจจะเสนอตั้งกมธ.วิสามัญขึ้นมาชุดหนึ่ง เพื่อตรวจสอบการใช้จ่ายเงินในแต่ละโครงการของหน่วยงาน

 

 

นายกฯ วอน ส.ว.ผ่านร่างพ.ร.บ.กู้เงิน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากส.ว.อภิปรายเสร็จสิ้นนานกว่า 10 ชั่วโมง เวลา 20.20 น.นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ชี้แจงว่า แผนการลงทุนของรัฐบาลครั้งนี้เป็นแผนการลงทุนครั้งประวัติศาสตร์ เนื่องจากเศรษฐกิจตกต่ำ และเอกชนซบเซา จึงจำเป็นที่ภาครัฐต้องเพิ่มบทบาท ทั้งอัดฉีดระยะสั้น และลงทุนระยะยาว โดยเมื่อรัฐบาลอัดฉีดเม็ดเงินกลับไปในระบบแล้ว จะทำให้ภาคเอกชนมั่นใจขึ้น และมีชีวิตชีวาในการเข้ามาร่วมลงทุน ส่วนที่ต้องกู้เงินโดยการทำเป็นพ.ร.บ. เพราะ ในส่วนพ.ร.ก. เริ่มดำเนินการแล้ว อยู่ในชั้นสำนักงบประมาณ รอครม.อนุมัติรายโครงการ อย่างไรก็ดี ในการลงทุน ต้องมองยาวๆ ทั้งพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีของปีนี้และปีต่อๆไป รัฐบาลก็ได้ศึกษาความเป็นไปได้ว่า ในอนาคตมีเม็ดเงินเพียงพอลงทุนหรือไม่ พบว่า ปีงบประมาณนี้ ไม่พอ โดยมีงบลงุทรนเพียง 12.5 เปอร์เซ็นต์ของวงเงินงบประมาณ ต่ำกว่ากรอบความยั่งยืนทางการคลังที่กำหนดไว้ที่ 25 เปอร์เซ็นต์อยู่ครึ่งหนึ่ง ซึ่งหากจะเพิ่มเป็น 20 เปอร์เซ็นต์ในปี 54 และ 55 ทำได้ยาก จะไปกินเข้างบรายจ่ายประจำ และเอาเข้าจริงหากรวมงบลงทุน 3 ปีคือปี 53-55 มีเพียง 1.7 แสนล้านบาท ซึ่งไม่พอในการลงทุน ฉะนั้น จึงต้องกู้ เพื่อมีเม็ดเงิน 1.4 ล้านบาท ซึ่งภาคอุตสาหกรรม ก็ขยับตัวพอใจ และเกิดการจ้างงาน สร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ จึงขอให้สมาชิกวางใจรัฐบาลในการใช้จ่ายตามพ.ร.บ.

 


นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯด้านเศรษฐกิจ ชี้แจงว่า ปัญหาข่าวการทุจริตในโครงการชุมชนพอเพียง ขอยืนยันว่า รัฐบาลได้ตรวจสอบเมื่อมีข่าวออกไป ส่วนที่มีการพูดพาดพิงถึงน้องชายตนที่เป็นรองผอ.สพช. (นายประโภชน์ สภาวสุ) ขณะนี้ก็ไม่มีข้อหาที่ชัดเจนเป็นเพียงการพูดพาดพิงถึง ซึ่งน้องชายตนก็เป็นคนที่หลายคนรู้จักดี เพราะเคยเป็น ส.ส. และส.ว. มาก่อน ไ ม่เคยมีประวัติด่างพร้อย และตนก็ไ ด้ขอให้มาช่วยงาน แค่ตำแหน่งรอง ผอ.ในโครงการนี้ เงินเดือนก็ไม่มาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้น น้องชายตนก็ได้เข้าไปตรวจสอบทันที และได้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว ขอยืนยันว่าโครงการนี้จำเป็นต้องเดินหน้าต่อไ ป และวันนี้มีการเสนอโครงการมาที้งสิ้น 6.3 หมี่นโครงการ รวมวงเงิน 5,300 ล้านบาท จากโครงการที่ตั้งงบไว้ทั้งหมด 2.1 ล้านบาท

 


นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า รัฐบาลยินดีรับฟังที่ส.ว.อภิปราย เพราะเป็นหน้าที่ตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้งนี้ ในแง่ภาพรวมแนวทางการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ ยืนยันว่า หากเปรียบเทียบกับไฟไหม้ สิ่งที่ดีที่สุดคือ ช่วยเหลือผู้คนดับไฟและวางรากฐานสำหรับอนาคต ก็ทำตั้งแต่ งบประมาณเพิ่มเติมกลางปี มาวันนี้ แผนไทยเข้มแข็งก็จะกระตุ้นเศรษฐกิจไปพร้อมกับการวางรากฐานในอนาคต

 


นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แผนไทยเข้มแข็งที่เลือกโครงการขนาดกลางและขนาดเล็ก กระจายทั้งประเทศ เพื่อการจ้างงานทั้งประเทศ ถ้าเป็นโครงการขนาดใหญ่จะมีปัญหาเช่น มวลชน และสิ่งแวดล้อม ซึ่งถ้าทำขนาดเล็กแบบกระจายมั่นใจว่าจะมีการสร้างงาน และให้สามารถทำได้ทันทีเพื่อให้ทันการณ์ มี 7 กรอบ เช่น แหล่งน้ำการเกษตร ถนนหนทางก็เพื่อลดต้นทุนด้านโลจิสติกส์ แหล่งท่องเที่ยว การศึกษา ซึ่งมียุทธศาสตร์ภาพใหญ่ ไม่ได้ทำไปแบบไม่มีทิศทาง อย่างไรก็ดี ข้อสังเกตทั้งหลาย รัฐบาลจะรับไว้และนำไปปรับปรุงให้เกิดความเหมาะสม ส่วนข้อสงสัยในรายละเอียดของโครงการ หรือข้อข้องใจอื่น ก็ให้ไปพิจารณาในชั้นกรรมาธิการ ขอให้รับหลักการไว้ก่อน หากไม่รับจะส่งสัญญาณไม่ดีในเรื่องความไม่แน่นอนในแนวทางการแก้ปัญหา

 


นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนเรื่องการทำตามกฎหมายหรือไม่นั้น ตนเป็นผู้แทนฯตั้งแต่ปี 35 เข้าใจเรื่องนี้ดีว่า ผู้แทนฯย่อมหวงแหนการใช้อำนาจแทนประชาชน ยืนยันว่า ไม่มีเจตนาเลี่ยงรัฐธรรมนูญ แต่กฎหมายนี้ทำได้ อย่างไรก็ดี ไม่คิดจะทำแบบนี้หากสถานการณ์ปกติ ทั้งนี้ รัฐบาลที่ผ่านมาก็ออกเป็นพ.ร.ก.ตลอด แต่ตนเห็นว่า ตัดบางส่วนที่เร่งด่วนเป็นพ.ร.ก. ที่เหลือให้ทำเป็นพ.ร.บ.เพื่อให้สภาพิจารณา ส่วนทางเลือกอื่นที่ส.ว.เห็นว่า ทำไมไม่ทำเป็นร่างพ.ร.บ.งบประมาณเพิ่มเติม เรื่องนี้เป็นเพราะ ต้องแก้กฎหมายหลายฉบับพร้อมกันคือกฎหมายหนี้สาธารณะและกฎหมายวิธีพิจารณางบประมาณ และมีความไม่แน่นอน ยุ่งยาก ไม่ทันการณ์ ฉะนั้น พวกรายละเอียดโครงการ รัฐบาลพร้อมจะให้ตรวจสอบและให้ความร่วมมือเต็มที่ และเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ หากดูรัฐวิสาหกิจ เวลากู้เงินไม่ต้องรายงานต่อสภา แต่เมื่อเป็นหนี้แล้วก็มาขอเงินไปใช้ ซึ่งตนในฐานะส.ส. ก็รู้สึกถูกมัดมือชกมาตลอด เพราะไม่ได้รู้เห็นในการกู้และใช้จ่ายงบประมาณด้วย

 


“ยืนยันว่า มีระเบียบการใช้เงินชัด ได้แก่ โยกย้ายข้ามหน่วยงานไม่ได้ เงินเหลือต้องคืนคลัง จะนำไปใช้โครงการอื่นไม่ได้ การขออำนาจไปไม่ได้หมายความว่า จะต้องใช้เงินทั้งหมด เราจะไม่กู้มากงอเป็นภาระ จะกู้เมื่อพร้อมจะจ่ายโครงการนั้นๆตามความจำเป็นและมีขั้นมีตอน ส่วนที่ห่วงเรื่องการคอรัปชั่น ในอดีตที่ผมยังเป็นฝ่ายค้าน มีคนถามว่า ถ้ามีอำนาจแล้วจะรับประกันได้หรือไม่ว่า จะไม่มีการคอรัปชั่นเกิดขึ้น ผมตอบว่า ไม่รับประกันว่าจะแก้ได้ทั้งหมด แต่ผมเชื่อว่าถ้าผู้นำเป็นตัวอย่างที่ดี ช่วยกันดูแลรัดกุม การทุจริตจะมีน้อย แต่ถ้ามี อย่างปัญหาเรื่องชุมชนพอเพียง มีปัญหา 50 ล้าน แต่ไม่ได้หมายความว่า โครงการ 5 หมื่นล้านไม่ดี และที่มีข่าวว่า นักการเมืองท้องถิ่นในพรรคไปเกี่ยวข้อง ก็ตั้งกรรมการตรวจสอบแล้ว ไม่ปล่อยไว้แน่ และจะแจ้งป.ป.ช.ด้วย ขอความกรุณาสมาชิกให้เครื่องมือเพื่อให้รัฐบาลไปดำเนินการในโครงการตามที่วางแผนไว้เพื่อให้เกิดการสร้างงานและแก้เศรษฐกิจด้วยเพราะเป็นภาวะไม่ปกติ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว


ผลโหวต สภาสูง ผ่านร่างท่วมท้น 110 ต่อ 21

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นเป็นการลงมติ ปรากฏว่า ที่ประชุมวุฒิสภามีมติรับหลักการร่างพ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน ด้วยคะแนน110 ต่อ 21 งดออกเสียง 9 ไม่ลงคะแนน 1 เสียง จากนั้น มีมติตั้งกมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง จำนวน 27 คน มีสัดส่วนจากรัฐบาล 5 คน อาทิ นายกอร์ปศักดิ์ นายกรณ์ เป็นต้น ส.ว. 22 คน อาทิ นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา นายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ ส.ว.ราชบุรี นายประสิทธิ โพธสุธน ส.ว.สุพรรณบุรี กำหนดแปรญัตติ 7 วัน และปิดประชุมเวลา 21.25 น.

 

 


 




 


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1249885183&grpid=no&catid=01
 อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
  • "เรืองไกร"เชื่อสภาสูงผ่านพ.ร.บ.กู้เงิน หวังแก้ไขโครงการชัดเจน
  • เรืองไกรเตรียมฟ้องศาลรธน.หยุดพ.ร.บ.กู้เงินถ้าส.ว.เห็นชอบ
  • "สุเทพ"ไม่กังวล ส.ว.คว่ำ พ.ร.บ.เงิ้นกู้4แสนล้านพร้อมยื่นใหม่ รองปธ.วุฒิเผย61 ส.ว.ถกชี้เสียงก้ำกึ่ง
  • ปชป.เผยรบ.พร้อมแจง ยันไม่ล็อบบี้ส.ว.โหวตผ่านพ.ร.บ.กู้เงิน
  • ปชป.บอกถ้าวุฒิสภาคิดถึงชาติต้องไม่คว่ำพ.ร.บ.กู้เงิน4แสนล้าน
  • รองปธ.วุฒิฯเตือนรบ.แจงให้ชัดพ.ร.บ.กู้เงิน หลังส.ว.เสียงก้ำกึ่ง
  • วิปรบ.เชื่อพ.ร.บ.กู้เงินไร้ปัญหา พร้อมแจงวุฒิสภาทุกเรื่อง


  • --
          Weblink
    http://ilaw.or.th
    www.patani-conference.net
    http://www.thaihof.org
    http://thainetizen.org
    http://www.ictforall.org
    http://elibrary.nfe.go.th
    http://www.thaisara.com
    http://www.rmutr.ac.th
    http://www.bedo.or.th/default.aspx
    http://weblogcamp2009.blogspot.com
    http://seminarmon.blogspot.com
    http://seminartue.blogspot.com
    http://seminarwed.blogspot.com
    http://seminarthu.blogspot.com
    http://seminarfri.blogspot.com
    http://seminar1951.blogspot.com
    http://seminardd.com