ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)
Bookmark and Share

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2552

กทม.ทุ่ม 70 ล.จัด "อาสาพิทักษ์เมือง" ดูแลคนกรุง

 
กทม.ทุ่ม 70 ล.จัด “อาสาพิทักษ์เมือง” ดูแลคนกรุง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 ตุลาคม 2552 15:24 น.
       กทม.ทุ่มงบ 70 ล้านบาท ดูแลประชาชนผ่านอาสาสมัครพิทักษ์เมือง พร้อมเตรียมใช้คลื่นวิทยุเครือข่ายช่วยตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ อาสา เผย ปีหน้าเห็นได้เห็นผลงาน เล็งตั้งวันพิทักษ์คนเมืองเชิดชูผู้มีจิตอาสา
       
       พล.ต.อ.สวัสดิ์ จำปาศรี ที่ปรึกษาผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินโครงการอาสาสมัครพิทักษ์คนเมือง เพื่อสร้างเครือข่ายประชาชนในด้านการแจ้งข้อมูลข่าวสาร และช่วยเป็นหูเป็นตาเจ้าหน้าที่ในด้านความปลอดภัยให้กับประชาชนที่อาศัยอยู่ ในพื้นที่ กทม.ว่า
        
       ขณะนี้การดำเนินงานอยู่ระหว่างการตั้งเรื่องของบประมาณเพื่อมาดำเนิน การ เบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบประมาณ 70 ล้านบาท เนื่องจากต้องมีการจัดอบรมให้กับอาสาสมัครเบื้องต้น 150,000 คน และจัดซื้ออุปกรณ์ติดต่อสื่อสารให้กับกลุ่มเครือข่ายอาสา เพื่อให้สามารถติดต่อสื่อสาร หรือแจ้งเหตุไปยังศูนย์อัมรินทร์ ของ กทม.ได้โดยตรง ซึ่งในการจัดอบรมนั้น กทม.จะเป็นการอบรมตัวแทนของกลุ่มเป้าหมาย อาทิ เครือข่ายแท็กซี่ เครือข่ายจักรยานยนต์รับจ้าง ชมรมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ อาทิ ตำรวจมาแนะนำวิธีสังเกตคนร้าย หรือผู้ต้องสงสัย แพทย์ หรือพยาบาล แนะนำการปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ
        
       ซึ่งผู้ที่ร่วมเป็นอาสาสมัคร และผ่านการอบรมจะได้รับสวัสดิการต่างๆ อาทิ บัตรรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลสังกัด กทม.ฟรี มีประกันชีวิต เป็นต้น ซึ่งการอบรมนั้นตั้งเป้าว่าจะเป็นเดือนละ 2 ครั้ง เบื้องต้นคาดว่าหลังจากเริ่มอบรมแล้ว จะเห็นผลการดำเนินงานได้อย่างเป็นรูปธรรมภายในกลางปี 2553
       
       พล.ต.อ .สวัสดิ์ กล่าวอีกว่า โครงการดังกล่าวยังมีระบบตรวจสอบการทำงานทางสังคมด้วย คือ ได้มีวิทยุเครือข่ายเข้าร่วมโครงการดังกล่าว อาทิ สวพ.91, จ.ส.100, วิทยุร่วมด้วยช่วยกัน ซึ่งจะมีการรายงานการแจ้งเหตุต่างๆ ให้กับประชาชนทราบ พร้อมประสานขอความช่วยเหลือไปยังเจ้าหน้าที่ ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ไม่เร่งดำเนินการ สังคมก็จะสงสัยว่าเหตุใดไม่ปฏิบัติหน้าที่และจะเกิดการตรวจสอบการทำงานต่อไป ทั้งนี้ ตนคาดว่า หาก กทม.สามารถมีเครือข่ายดูแลคนกรุงเทพฯที่เข้มแข็งแล้วจะเสนอให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.จัดวันพิทักษ์คนเมือง เพื่อเชิดชูผู้ที่มีจิตอาสาและรณรงค์ให้ประชาชนเข้าร่วมเป็นเครือข่ายมาก ขึ้น
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000120852

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
blog
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
blog
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.media4democracy.com/th/
http://www.youngtelecom.org/
http://www.logex.kmutt.ac.th/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

บิ๊ก คค.จัดแถวโต้ข่าวไอ้โม่งงาบหัวคิว 25% ท้าบิ๊ก ส.อ.ท.โชว์ใบเสร็จ

บิ๊ก คค.จัดแถวโต้ข่าวไอ้โม่งงาบหัวคิว 25% ท้าบิ๊ก ส.อ.ท.โชว์ใบเสร็จ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 ตุลาคม 2552 16:43 น.
ผู้บริหารกระทรวงคมนาคม พร้อมใจจัดแถวหน้ากระดาน โต้ข่าวไอ้โม่งเก็บเงินใต้โต๊ะโครงการไทยเข้มแข็ง 20-25% ยันเป็นไปไม่ได้ พร้อมฝากท้าประธาน ส.อ.ท.ให้ข่าวต้องโชว์ใบเสร็จด้วย ไม่ใช่อ้างขึ้นมาลอยๆ แล้วแอบเอาข้อมูลไปฟ้องนายกฯ
    

   
       นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงกรณีที่ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) รายงานต่อนายกรัฐมนตรีในที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน ว่า โครงการไทยเข้มแข็งมีการเรียกเก็บเงินใต้โต๊ะในโครงการก่อสร้างต่างๆ ที่ได้รับงบประมาณจากในโครงการของโครงการไทยเข้มแข็งกว่าร้อยละ 20-25 โดยระบุว่า เป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดการเรียกเก็บเงินใต้โต๊ะจากเอกชน หรือหากมีจริง เอกชนที่รายงานต่อนายกรัฐมนตรีก็ต้องมีหลักฐานมาแสดง
       
       ทั้งนี้ โครงการที่กระทรวงคมนาคมรับผิดชอบโดยเฉพาะในส่วนของกรมทางหลวง และกรมทางหลวงชนบท นั้น ส่วนใหญ่เป็นโครงการก่อสร้างรวมแล้วกว่า 2,000 โครงการ รวมเป็นเงิน 45,000 ล้านบาท ทำให้โครงการกระจายไปผู้รับเหมาหลายเจ้า และหากมีหลักฐานก็ให้นำมาแสดง เพราะไม่อยากให้พูดอ้างขึ้นมาลอยๆ เพราะทำให้หลายคนเสียหาย
       
       นายวิชาญ คุณากูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับโครงการถนนไร้ฝุ่น เพราะเป็นโครงการขนาดเล็ก ทำให้วงเงินก่อสร้างแต่ละโครงการไม่มากอยู่ที่ 20-30 ล้านบาท และกำไรแต่ละโครงการก็ไม่มาก คือ โครงการที่ไม่เกิน 20 ล้านบาท จะอยู่ที่ร้อยละ 12.5 เกิน 100 ล้านบาท จะอยู่ที่ร้อยละ 9 เท่านั้น และอยากให้ผู้ที่ออกมารายงานนายกรัฐมนตรีแสดงหลักฐานและจะสั่งให้มีการตรวจ สอบข้อเท็จจริงต่อไป
       
       สำหรับการปฏิบัติตามแผนปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 เช่น โครงการถนนไร้ฝุ่น ระยะแรกที่คณะรัฐมนตรีอนุมัติแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็งเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งบรรจุโครงการถนนไร้ฝุ่นของกรมทางหลวงชนบทไว้ในแผนปฏิบัติการกำหนดเวลา ปฏิบัติงาน 3 ปี ตั้งแต่ปี 2553 – 2555 ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 โดยในวันที่ 17 ตุลาคม 2552 นี้ จะเซ็นสัญญาครบทุกสัญญา ซึ่งขณะนี้ยังไม่พบว่ามีปัญหาการทุจริตเกิดขึ้นกับโครงการดังกล่าว โดยยืนยันว่าจะป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริตอย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ตาม
       
       “ยอมรับว่า ขณะนี้มีความเป็นห่วง เนื่องจากพบว่ามีผู้รับเหมาจำนวนมากที่ยื่นซองเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางกว่า ร้อยละ 20-30 ซึ่งวิตกว่าผู้รับเหมาจะประสบปัญหาการขาดทุน และไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้และโครงการอาจไม่แล้วเสร็จ สุดท้ายกรมก็ต้องเข้าไปดำเนินการก่อสร้างต่อ ทำให้ต้องเสียงบประมาณและประชาชนเสียโอกาสใช้ถนนที่มีคุณภาพ”
       
       นอกจากนี้ นายวิชาญ ยังกล่าวในงานวันคล้ายวันก่อตั้งกรมทางหลวงชนบท ครบรอบ 7 ปี โดยระบุว่า กรมจะเร่งยกระดับมาตรฐานทางหลวงชนบทสานต่อนโยบายของรัฐในการสร้างความเข้ม แข็งทุกท้องถิ่น โดยการก่อสร้างโครงข่ายทางเชื่อมระหว่างชนบทกับเมือง สร้างเส้นทางเลี่ยง-ลัด สร้างถนนตามแนวผังเมือง เพื่อช่วยบรรเทาจราจรในเขตเมือง สร้างเส้นทางเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมการคมนาคมขนส่ง อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
       
       ด้าน นายวีระ เรืองสุขศรีวงศ์ อธิบดีกรมทางหลวง ยืนยันว่า โครงการก่อสร้างที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมทางหลวงทั้งหมดดำเนินการตาม ระเบียบพัสดุมีขั้นตอนการตรวจสอบทุกขั้นตอน การประกวดราคาใช้วิธีการประกวดราคาแบบอิเล็คทรอนิกส์ มั่นใจว่า ไม่มีการเรียกเก็บผลประโยชน์หรือเงินใต้โต๊ะ แน่นอน
       
       โดยโครงการที่อยู่ภายใต้งบประมาณไทยเข้มแข็งมีวงเงินประมาณ 12,000 ล้านบาท จำนวน 700 โครงการ แต่ละโครงการวงเงินรวมประมาณ 20-30 ล้านบาทเท่านั้น หากมีการจ่ายเงินใต้โต๊ะเชื่อว่าผู้รับเหมาจะอยู่ไม่ได้ เพราะขาดทุน ดังนั้น เรื่องการแย่งงานและตัดราคาแข่งกันนั้น เป็นไปได้ยาก เพราะเอกชนต้องคำนึงถึงผลกำไรและความอยู่รอดของบริษัทตนเองด้วย
 

เตรียมเปิดเว็บไซต์รับเรื่องทุจริตในกทม.

เตรียมเปิดเว็บไซต์รับเรื่องทุจริตในกทม.
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 ตุลาคม 2552 08:30 น.
       กรรมการ สืบสวนฯ กทม. เตรียมเปิดเว็บไซต์รับเรื่องร้องเรียนทุจริตในกทม. “ธีระชน” เผยแม้ยอมระบุชื่อแต่มีหลักฐานชัดเจนพร้อมตรวจสอบให้ทันที
       
       นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร(กทม.) ในฐานะรองประธานคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนการทุจริตและประพฤติมิชอบในการบริหาร ราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า คณะกรรมการฯเตรียม ที่จะเปิดตัวเว็บไซต์เพื่อรับเรื่องร้องเรียน หรือแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการทุจริตประพฤติมิชอบจากข้าราชการ ลูกจ้างกทม. รวมถึงประชาชนทั่วไปที่พบเห็น เพื่อที่จะใช้เป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสาร หรือแจ้งเบาะแสมายังกรรมการเพื่อให้ตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้ทางนายธราดล เปี่ยมพงศ์สานต์ ที่ปรึกษาผู้ว่าฯกทม. และโฆษกกทม. รับเป็นผู้ดำเนินการดังกล่าวพร้อมกับสำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล กทม. ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวเว็บไซต์ได้เร็วๆ นี้
       
       นายธีระชน กล่าวด้วยว่า ใน การทำงานสืบสวนขณะนี้หากผู้ที่ร้องเรียนได้แจ้งเรื่องโดยมีหลักฐานชัดเจน แม้ไม่ได้ระบุถึงชื่อบุคคลที่ร้องเรียน ทางกรรมการสืบสวนฯ พร้อมจะดำเนินการตรวจสอบให้ทันที ส่วนข้าราชการ หรือลูกจ้างกทม. ก็เช่นเดียวกันหากแจ้งเบาะแสที่เป็นประโยชน์ ทางกรรมการสืบสวนฯ พร้อมที่จะปกป้อง อาทิ การไม่เปิดเผยชื่อ นอกจากนั้นแล้วหากข้าราชการ ลูกจ้างกทม. ต้องการแจ้งเบาะแสสามารถแจ้งได้ที่ตนหรือนายเจริญรัตน์ ชูติกาญจน์ หัวหน้าสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพ (ก.ก.) เลขาคณะกรรมการสืบสวนฯ ก็ได้
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000120011

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
blog
http://www.thaifreedompress.blogspot.com/
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.ksmecare.com/docSeminar/520902031848987.pdf
http://www-01.ibm.com/software/th/events/lotusliveevent/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm

วันอังคารที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เข้าร่วมเครือข่ายของSun News บน Windows Live

เข้าร่วมกับเครือข่ายของ Sun News บน Windows Live
 
ดูคำเชิญ
ดูแฟ้มประวัติ
หากยอมรับคำเชิญนี้ คุณจะปรากฏอยู่บนแฟ้มประวัติออนไลน์ของแต่ละฝ่าย และสามารถสนทนากันได้โดยใช้ Windows Live Messenger
เปลี่ยนแปลงผู้ที่สามารถส่งคำเชิญและการร้องขอมาถึงคุณ
Microsoft เคารพสิทธิส่วนบุคคลของคุณ หากต้องการเรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติม อ่านคำชี้แจงสิทธิส่วนบุคคลของเรา Windows Live

วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ผงะร่างงบฯ ม.นอกระบบ "การเมือง" ซึมรอเขมือบ

 
 ผงะร่างงบฯ ม.นอกระบบ "การเมือง" ซึมรอเขมือบ

ข่าววันที่ 5 ตุลาคม 2552 แหล่งข่าวจาก สยามรัฐ

 

** ผงะร่างงบฯม.นอกระบบ  การเมืองซึมรอเขมือบ

 

                ที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมช.ศึกษาธิการ กล่าวบรรยายพิเศษเรื่อง นโยบายของรัฐในการสนับสนุนและส่งเสริม มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ ตอนหนึ่งเกี่ยวกับร่างระเบียบ ว่าด้วยระบบประเมินผล และการจัดสรรงบประมาณ ของสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐ ว่า ขณะนี้มีข้อห่วงใย คือเรื่องที่มาและองค์ประกอบของคณะกรรมการประเมินผลและจัดสรรงบฯ จำนวน 9 คน เป็นกรรมการ โดยตำแหน่ง 3 คน ได้แก่ ผอ.สำนักงบฯ, เลขาธิการ กกอ. และเลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ ส่วน อีก 6 คน เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ซึ่งแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรีที่ดูแล สกอ.ซึ่งตนได้เห็นร่างฯ แล้วรู้สึกตกใจ เพราะอำนาจการแต่งตั้งเป็นของฝ่ายการเมือง จะทำให้คณะกรรมการนี้ ควบคุมมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ แบบกระดิกตัวไม่ได้

                ผม มาจากฝ่ายการเมืองแท้ๆ เห็นร่างนี้ให้อำนาจนายกฯ หรือรัฐมนตรีที่ดูแล สกอ.แล้วยังตกใจ เพราะสามารถชี้เป็นชี้ตายมหาวิทยาลัยได้ พอผมทราบเรื่องก็หารือกับนายกฯทันที นายกฯ ก็ตกใจเช่นกันและสั่งชะลอการนำร่างฯ นี้เข้าที่ประชุม ครม. และรับฟังความเห็นจากมหาวิทยาลัยในกำกับรัฐก่อน ซึ่งผมอยากขอให้เร่งให้ความเห็นภายใน 1 สัปดาห์ เพราะคาดว่าร่างฯ นี้จะเข้า ครม.อีกครั้งกลางเดือน ต.ค.นี้รมช.ศึกษาธิการ กล่าว

http://www.siamrath.co.th/uifont/NewsDetail.aspx?cid=56&nid=47783

--
ขอเชิญอ่าน  blog.Thank you so much.
chan
http://integration9.blogspot.com/ integration
http://sundara21.blogspot.com/      sandara
http://same111.blogspot.com/        culture
http://sea-canoe.blogspot.com/      seacanoe

ระหว่างวันที่ 6- 11 ตุลาคม 2552 นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา พร้อมคณะฯ เดินทางไปเยือนและศึกษาดูงาน ณ ประเทศญี่ปุ่น

ระหว่างวันที่ 6- 11 ตุลาคม 2552 นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา พร้อมคณะฯ เดินทางไปเยือนและศึกษาดูงาน ณ ประเทศญี่ปุ่น

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
chun
http://tham-manamai.blogspot.com /sundara        
http://dbd-52hi5com.blogspot.com/ dbd_52
http://thammanamai.blogspot.com/ อายุวัฒนา
http://sunsangfun.blogspot.com/ suntu
http://originality9.blogspot.com/ originality
http://wisdom1951.blogspot.com/ wisdom

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สน.งบฯจี้สอบครุภัณฑ์พบล็อคชัด พท.จี้ลากไส้"ต.-ม."โกง สธ.อ้างวัสดุขึ้นราคา พบ 2 สสจ.ซื้อ"ยูวี-แฟน"แล้ว


วันที่ 02 ตุลาคม พ.ศ. 2552 เวลา 08:33:46 น.  มติชนออนไลน์

สน.งบฯจี้สอบครุภัณฑ์พบล็อคชัด พท.จี้ลากไส้"ต.-ม."โกง สธ.อ้างวัสดุขึ้นราคา พบ 2 สสจ.ซื้อ"ยูวี-แฟน"แล้ว

สำนัก งบฯจี้สอบครุภัณฑ์3ชนิด พบล็อคชัด "เพื่อไทย"จี้รมว.สธ.ลากไส้"ต.-ม."ทุจริต แฉข่มขู่แพทย์จว.ไม่ทำตามใบสั่ง ระวังมีอันเป็นไป "วิทยา"ยันจัดซื้อครุภัณฑ์ตามระเบียบ ปัดคนใกล้ชิดไปพบบริษัทรถพยาบาลตรวจสอบพบ2 สสจ.จัดซื้อแล้ว "ยูวี-แฟน"


เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 1 ตุลาคม ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มี พ.อ.อภิวันท์  วิริยะชัย ทำหน้าที่ประธานการประชุมทั้งนี้นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ได้ตั้งกระทู้ถามสดนายวิทยา  แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กรณีการจัดซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ จากเงินงบประมาณโครงการไทยเข้มแข็ง วงเงิน 60,000 กว่าล้าน โดยนพ.ชลน่าน ถามถึงนโยบายการปฎิบัติงานในโครงการไทยเข้มแข็ง ของกระทรวงสาธารณสุข การกำหนดการจัดซื้อจัดจ้าง การกำหนดราคากลางที่พบว่ามีการกำหนดสูงกว่าราคาท้องตลาดถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์  รวมถึงพฤติกรรมของกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่เป็นตัวกลางในการแอบอิงแสวงหาผล ประโยชน์จากโครงการ โดยมีคำพูดว่า "ถ้าพื้นที่ไม่กำหนดคุณสมบัติของรายการครุภัณฑ์ที่กำหนดสเปก หรือกำหนดราคากลางตามส่วนกลางกำหนดมา ระวังมีอันเป็นไป" ซึ่งเป็นการข่มขู่ แพทย์ที่อยู่ในระดับจังหวัดในการทำหน้าที่กำหนดรายการครุภัณฑ์


นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เหตุการณ์ทั้งหลายสามารถทำอย่างอุกฉกรรจ์ และเหิมเกริม ซึ่งตนเชื่อว่า ข้าราชการทั่วไปทำไม่ได้ แต่เป็นผู้มีอำนาจระดับสูงในกระทรวงอย่างแน่นอน ดังนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการอย่างไรในเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องที่ค่อนข้างชัดเจนและมีการเปิดเผยถึงชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง อักษรย่อ "ต." และ "ม." ฉะนั้นขอให้รัฐมนตรีช่วยลากไส้คนเหล่านี้ออกมาด้วย รวมถึงกรณีการทุจริตยา 1,400 ล้านบาท ที่หายเงียบไปด้วย


"หากโครงการดังกล่าว มีการจัดซื้ออย่างโปร่งใส จะช่วยประหยัดงบประมาณไปได้ถึง 20,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ขอถามไปยังรัฐมนตรีด้วยว่า มีแผนเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์อย่างไร หลังจากที่เดินหน้าโครงการยกระดับสถานีอนามัยไปแล้ว เพราะไม่เช่นนั้น หากมีเพียงป้ายโรงพยาบาลตำบล โดยที่ไม่มีแพทย์และพยาบาล ป้ายอาจถูกเผาได้"นพ.ชลน่านกล่าว


ด้านนายวิทยา ชี้แจงว่า ข่าวการทุจริตและราคากลางที่จัดซื้อแพงเกินจริงนั้น ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบแล้ว ซึ่งตนมีความเป็นห่วงในประเด็นนี้เช่นกัน และพร้อมที่จะร่วมมือกับหมอที่รักความเป็นธรรมทั้งหมดเพื่อสร้างให้กระทรวง สาธารณสุขสะอาด ทั้งนี้ สำหรับแผนการเพิ่มบุคลากรทางการแพทย์นั้น มีแผนเพิ่มแพทย์จำนวน 2,500 คน พยาบาล 4,000คน และผู้ช่วยพยาบาล 5,000 คน ซึ่งเป็นแผนในเวลา 3 ปี โดยต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 6 ปี ถึงจะได้บุคลากรทางการเมืองในอัตราดังกล่าว ส่วนโรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพตำบลนั้น กระทรวงทราบดีว่า ไม่สามารถส่งหมอไปประจำอยู่ได้ แต่จะใช้ระบบความทันสมัยของเทคโนโลยีการสื่อสารมาช่วยดำเนินการได้ โดยประชาชนที่เข้ารับการรักษาที่หน่วยแพทย์ประจำตำบล สามารถคุยสอบถามกับแพทย์ประจำอำเภอผ่านระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์ได้

 

 

 

ก่อนหน้านี้ ที่รัฐสภา  เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม  คณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร มี นพ.ประสิทธิ์ ชัยวิรัตนะ ส.ส.ชัยภูมิ เป็นประธาน พิจารณากรณีความไม่โปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างของ สธ.ภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 (SP2) มีนายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ. และ นพ.เกรียงศักดิ์ วัชรนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท เข้าชี้แจง ใช้เวลา 4.30 ชั่วโมง  

 

นพ.เกรียงศักดิ์กล่าวยืนยันว่า โครงการจัดซื้อเครื่องช่วยหายใจ เครื่องตรวจสารชีวะเคมีในร่างกาย เครื่องรมยาสลบ และเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยระบบอัลตราไวโอเลต (ยูวี-แฟน) มีราคาสูงเกินจริงและล็อคสเปคทั้งหมด ทราบมาอีกว่าเมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ผ่านมา นักการเมืองคนสำคัญชื่อย่ออักษร  "ม" และ "ต" นัดเจรจากับผู้ประกอบกิจการรถยนต์รายใหญ่ 2 รายที่เคยขัดแย้งกันมาก่อน ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในห้างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า เพื่อให้เอกชนยอมฮั้วกันผ่านวิธีการแบ่งกลุ่มรับงาน แต่ที่ผ่านมาโครงการนี้มีคนบาดเจ็บมามาก มีคนได้มีคนเสีย เจ้าของกิจการ 2 รายตกลงกันไม่ได้ ถือเป็นโชคของประเทศ จากนั้นทั้งสองฝ่ายมาเล่าข้อมูลให้ฟัง ยืนยันว่าที่พูดเป็นความจริง

 

เสาธงต้นละ 5 แสน-คาดสูญหมื่นล.


นพ.เกรียงศักดิ์กล่าวอีกว่า มีหลักฐานใบเสร็จชัด เช่น เรื่องการก่อสร้างโรงพยาบาล เช่น ปี 2551 รพ.ภูกระดึงทำหอพักพยาบาล 24 ห้อง ราคากลาง 6.8 ล้านบาท ประมูลได้ 6.5 ล้านบาท แต่ราคากลางตามเอสพี 2 อยู่ที่ 9.5 ล้านบาท ส่วนการจัดซื้อเสาธงให้ รพ.ทั่วประเทศ ความสูง 20 เมตร ราคากลางเอสพี 2 ต้นละ 495,000 บาท ทั้งที่ราคาจริงไม่น่าจะอยู่แค่ 20,000 บาท จากการตรวจสอบราคาสินค้าก่อสร้างครุภัณฑ์ชนิดอื่นๆ น่าจะเพิ่มสูงขึ้นเกินความเป็นจริงไม่ต่ำ 30% คิดเป็นเงินกว่าหมื่นล้านบาท


"ผมเชื่อว่ามีคนบงการอยู่เบื้องหลัง จนทำให้บริษัทเหล่านี้ย่ามใจกล้าข่มขู่โรงพยาบาลที่จัดซื้อ สิ่งที่เกิดขึ้นน่าจะมีปัญหาว่าเงินจะเข้ากระเป๋าใคร โดยเฉพาะเครื่องตรวจสารชีวะเคมีในเลือดเงิน น่าจะเข้ากระเป๋าใครบางคนเกือบ 100% เพราะบริษัทต้องลงทุนฟรีเพื่อจะขายน้ำยาอยู่แล้ว" นพ.เกรียงศักดิ์กล่าว


นพ.เกรียงศักดิ์กล่าวว่า สำหรับเครื่องช่วยหายใจและเครื่องรมยาสลบมีราคากลางที่สูงเกินความจริงและ สเปคที่สูงเกินไป ไม่ตรงกับที่พื้นที่ร้องขอ มีการจัดสรรเครื่องมือที่ราคา 1.5 ล้านบาทเท่ากันหมดโดยไปเพิ่มออพชั่นบางอย่างที่ไม่มีความจำเป็น และกำหนดสเปคเพื่อให้เข้ากับบริษัทผู้จำหน่ายบางแห่ง เช่น รพ.ใน จ.สกลนคร เสนอขอในราคา 7.5 แสนบาท 6 เครื่อง แต่กลับจัดสรรให้เพียง 3 เครื่องในราคา 1.5 ล้านบาท ทำให้ขาดโอกาสในการได้เครื่องมือที่ตรงกับความต้องการของพื้นที่ และความจริงแล้วราคาน่าจะไม่เกิน 1.2 ล้านบาท เรื่องเครื่องมือทางการแพทย์กำลังมีผู้ไม่หวังดีพยายามดูดเงินภาษีประเทศ ชาติอาจไม่น้อยกว่าหมื่นล้านบาทเช่นกัน ทั้ง 3 กรณีคือเชิงนโยบาย การเพิ่มราคากลางและเพิ่มราคาเครื่องมือแพทย์น่าจะทบทวนและปรับปรุงได้ไม่ น้อยกว่า 3 หมื่นล้านบาท

 

สธ.อ้างแพงเพราะวัสดุขึ้นราคา


นายวิทยาชี้แจงว่า คนที่ให้ข่าวบางคนมีข้อมูลไม่ครบ บางคนไม่ใช่แพทย์แต่ออกมาพูด ทำให้เกิดความปั่นป่วน ยืนยันว่าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุดคนที่ทุจริตต้องติดคุก แต่คนที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลต้องรับผิดชอบคำพูดของตัวเองด้วย


ด้าน นพ.คำรณ ไชยศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารโครงการไทยเข้มแข็ง 2555 สธ. กล่าวว่า สาเหตุที่ราคากลางของครุภัณฑ์บางอย่างที่ส่วนกลางตั้งไปมีราคาสูงผิดปกติ เนื่องมาจากการประเมินราคาก่อนหน้านี้ในที่ราคาวัสดุขึ้นสูง แต่การตั้งงบฯของท้องถิ่นไม่จำเป็นต้องเอาตามราคากลางที่ส่วนกลางตั้งไป เพราะท้องถิ่นตั้งราคากลางของท้องถิ่นได้ จากนั้นค่อยเปิดซอง ซึ่งทั่วไปมักจะได้ต่ำกว่าราคากลางที่ส่วนกลางตั้งไป


ส.ส.ปชป.ไม่เคลียร์จี้หาคำตอบ


หลังตัวแทนจาก สธ.ชี้แจงจบ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กมธ.สาธารณสุข ได้กล่าวขึ้นมาทันทีว่า ตัวแทน สธ.ชี้แจงไม่กระจ่าง ตนยังปักใจเชื่อว่ามีการหาประโยชน์ อยากให้ไปหาคำตอบให้กระจ่าง ดังนี้
1.ราคากลางที่กำหนดสำหรับการสร้างหอพักพยาบาล 9 ล้านบาท ทั้งที่หลายแห่งใช้เพียง 6 ล้านบาทเท่านั้น
2.ครุภัณฑ์บางอย่าง เช่น เครื่องยูวี-แฟน ท้องถิ่นหลายแห่งยืนยันว่าไม่ใช่เครื่องมือที่จำเป็น เช่นเดียวกับเครื่องตรวจเคมีในเลือดที่ล็อคสเปคว่าจะต้องซื้อจากบริษัทหนึ่ง เท่านั้น
3.เครื่องช่วยหายใจและเครื่องดมยาสลบที่มีราคาสูงเกินไป
4.ราคากลางรถพยาบาลที่เพิ่มมาคันละ 1 แสนบาท
5.ราคาเสาธงต้นละ 5 แสนบาท 

 

สน.งบฯจี้สอบ 3 ชนิด-พบล็อคชัด


แหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงบประมาณเปิดเผยว่า ภายใต้การอนุมัติงบฯไทยเข้มแข็ง มีการระบุรายการครุภัณฑ์อยู่ 2-3 รายการที่สำนักงบประมาณขอให้ สธ.ตรวจสอบ ได้แก่
1.เครื่องตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจและสัญญาณชีพแบบรวมศูนย์
2.เครื่องดมยาสลบพร้อมเครื่องช่วยหายใจ
3.เครื่องติดตามการทำงานของหัวใจและเครื่องวิเคราะห์แก๊สระหว่างดมยาสลบครบชุด
โดยสำนักงบประมาณเชื่อว่า รพ.ตำบลไม่น่าจะมีวิสัญญีแพทย์ที่ใช้เครื่องดังกล่าวได้ ส่วนครุภัณฑ์อีกประเภทที่ล็อคสเปค คือ เครื่องช่วยหายใจที่ระบุให้มีระบบวัดความจุของปอดด้วย หากระบุเอาไว้จะมีบริษัทเดียวที่เข้าประมูลได้


ยันยูวี-แฟนต้องต่ำกว่า 4 หมื่น


ผู้อำนวยการโรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งเปิดเผยว่า รพ.มหาสารคามจัดซื้อเครื่องยูวี-แฟน 45 เครื่อง และ รพ.ร้อยเอ็ดจัดซื้อ 50 เครื่อง เครื่องละ 40,000 บาท โดยใช้เงินบำรุง รพ. ดังนั้น ในโครงการเอสพี 2 อย่างน้อยราคากลางของเครื่องดังกล่าวก็ควรลดลงต่ำกว่า 40,000 บาท


นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ. กล่าวว่า ได้ลงนามคำสั่ง สธ.แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง 2 ชุด ชุดแรกตรวจสอบการจัดซื้อเครื่องทำลายเชื้อโรคฯ มี นพ.เสรี หงส์หยก ผู้ตรวจราชการ สธ. เป็นประธาน ชุดที่ 2 คณะกรรมการพิจารณาความเหมาะสมและแก้ไขปัญหาโครงการไทยเข้มแข็ง มีตัวแทนแพทย์ชนบท รองปลัด สธ.เป็นประธาน

 

 

สอบพบ2 สสจ.จัดซื้อแล้ว "ยูวี-แฟน"


จากกรณี นพ.พงษ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ เลขาธิการชมรมแพทย์ชนบท ออกมาเปิดโปงข้อมูลเกี่ยวกับการจัดซื้อเครื่องช่วยหายใจ เครื่องกระตุ้นหัวใจ และเครื่องทำลายเชื้อโรคด้วยระบบแสงอัลตราไวโอเลต (ยูวี-แฟน) ในโครงการ  "ไทยเข้มแข็ง" 4 ประเด็น คือ
1.มีกลุ่มบุคคลไปวิ่งเต้นล็อคสเปคสินค้าให้เอื้อต่อบริษัทบางราย
2.ราคาสินค้าแพงเกินจริง
3.ไม่ตรงตามความต้องการของโรงพยาบาล
4.ส่วนราชการหลายแห่งยังไม่มีผู้เชี่ยวชาญในการใช้นั้น


ล่าสุด  "มติชน" ได้ตรวจสอบเว็บไซต์ www.gprocurement.go.th ของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ซึ่งเป็นเว็บไซต์แจ้งประกาศประกวดราคาจัดซื้อจัดจ้างของส่วนราชการ เพื่อตรวจสอบหาส่วนราชการในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ที่จัดซื้อเครื่องช่วยหายใจ เครื่องกระตุ้นหัวใจ และยูวี-แฟน พบว่าระหว่างวันที่ 20-29 กันยายน 2552 ส่วนราชการ สธ.ใน จ.นครพนม พะเยา อุบลราชธานี นครนายก ฉะเชิงเทรา สระบุรี มุกดาหาร นครราชสีมา พังงา เลย และกาญจนบุรี ฯลฯ ส่วนใหญ่แจ้งประกาศประกวดราคาจัดซื้อเครื่องช่วยหายใจ และเครื่องกระตุ้นหัวใจ แต่มีเพียง 2 แห่งจัดซื้อยูวี-แฟน ได้แก่ สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) นครนายกจัดซื้อ 3 เครื่อง และ สสจ.เลยจัดซื้อ 12 เครื่อง


ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า จ.อุบลราชธานี ประกาศจัดซื้อเครื่องช่วยหายใจชนิดควบคุมปริมาตรและความดันสำหรับเด็กแรก เกิดจนถึงผู้ใหญ่ ให้โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ 2 เครื่อง ระบุราคาเครื่องละ 1,200,000 บาท ในขณะที่ นพ.พงษ์เทพระบุว่า โรงพยาบาลบางแห่งซื้อแค่ 500,000 บาทเท่านั้น นอกจากนี้ จ.อุบลฯยังประกาศจัดซื้อครุภัณฑ์ 25 รายการ เป็นเงิน 157,700,000 บาท แต่ไม่ระบุรายละเอียดว่าเป็นครุภัณฑ์ชนิดใด


"แม้ว" เหน็บ "ใครเข้มแข็ง"


ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ  ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ทวิตข้อความผ่านเว็บไซต์ Twitter.com ถึงโครงการไทยเข้มแข็ง ว่า "การเมืองช่วงฟาดฟันกันแบบนี้คนฉลาดแกมโกงจะรีบฉกฉวยผลประโยชน์เพราะการกลัว เสียอำนาจของผู้มีอำนาจจะจำยอมไทยเข้มแข็งจะเป็นใครเข้มแข็ง"

 

 


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1254389677&grpid=&catid=01
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
"แม่เลี้ยงติ๊ก"ปัดเอี่ยวรับประโยชน์"ครุภัณฑ์"ไทยเข้มแข็ง "วิทยา"มอบดาบปลัดสธ.สอบเต็มที่
"มาร์ค"งง"วิทยา"แฉคนใกล้ชิด อยู่เบื้องหลังซื้อครุภัณฑ์สธ.
"วิทยา"กลัวคุก! ตั้งกก.2ชุดสอบซื้อครุภัณฑ์ทางการแพทย์ นายกฯ ลงดูเอง ลั่น"ไทยเข้มแข็ง"ต้องโปร่งใส
รมว.สธ.วางงบฯไทยเข้มแข็งซื้อครุภัณฑ์การแพทย์ปัดล็อคสเปค
พท.ปูดสธ.ส่อฉาว ไทยเข้มแข็ง ซื้อครุภัณฑ์3หมื่นล.กลิ่นตุๆ ชาวบ้านอำนาจเจริญร้องถูกเปลี่ยนโครงการ
อธิบดีสถ.สั่งตั้งคกก.สอบ "อปท."ส่อจัดซื้อครุภัณฑ์ฉาว
"จุรินทร์"รับจะเร่งตรวจสอบการล็อคเสปคครุภัณฑ์
รมช.ศธ.ท้า"สุนัย"ฟ้องป.ป.ช. แจงรัฐบาลเก่าซื้อครุภัณฑ์
พท.ซุ่มจับผิดซื้อครุภัณฑ์ฯ ขู่ไม่เลิกล็อคสเปคเจอซักฟอก
รมช.ศธ.ปัดเสี่ย"ป"วางเงินดาวน์ 20 ล. ล็อคสเปค ครุภัณฑ์ให้วิทยาลัยในสังกัดสอศ. แจงใช้งบฯปี′52
พท.ชี้จัดซื้อครุภัณฑ์ส่อทุจริต ปูด "พ่อค้า ป." วิ่งเต้นล็อบบี้วางดาวน์ 20 ล้าน เลขาฯ สอส.ปัดล็อคสเปค
ผู้ค้าเหนือโวย สนง.อาชีวะฯส่อล็อคสเปคซื้อครุภัณฑ์ กว่า 700 ล้าน สงสัยเอื้อผู้ประกอบการกลุ่มเดียว
กมธ.งบฯ เผยงบครุภัณฑ์"สำนักปลัดคลัง"น่าสงสัย
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1254389677&grpid=&catid=01
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
blog
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.ksmecare.com/docSeminar/520902031848987.pdf
http://www-01.ibm.com/software/th/events/lotusliveevent/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm

"3 ปีสีเขียวสะพรั่ง" "รั้ว" สวยงาม-"บ้าน" "ผุกร่อน"

วันที่ 02 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11528 มติชนรายวัน


"3 ปีสีเขียวสะพรั่ง" "รั้ว" สวยงาม-"บ้าน" "ผุกร่อน"





การ เมืองไทยผ่านการ "รัฐประหาร-ยึดอำนาจ" เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 มาเป็นเวลา 3 ปี ต้องถือได้ว่าปรากฏการณ์นั้น ทำให้กองทัพมี "อำนาจต่อรอง" ต่อ "ฝ่ายการเมือง" กลับมามีความสำคัญมากขึ้น

โดยเฉพาะในสภาวะ "การเมืองไม่นิ่ง" ที่กองทัพถือเป็นหน่วยงานหนึ่งที่เคยเข้ามามีบทบาทในการแก้วิกฤต "การเมืองแบบไทย"

ทั้งนี้ "อำนาจต่อรอง" ของกองทัพสามารถอธิบายได้ด้วยปัจจัยสำคัญคือ เงินงบประมาณในการ "จัดซื้อยุทโธปกรณ์" ของแต่ละเหล่าทัพ

ล่าสุดการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 29 กันยายน ว่า ครม.อนุมัติให้กองทัพบกจัดซื้ออากาศยานฝึกเฮลิคอปเตอร์ขนาดเบา 16 ลำ วงเงินกว่า 1,100 ล้านบาท และโครงการซ่อมบำรุงเฮลิคอปเตอร์แบบใช้งานทั่วไประยะที่ 2 (ทบ.1395) วงเงิน 980,336,050 บาท และอนุมัติงบประมาณปี 2552 เพิ่มเติมเป็นงบกลางรายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นจำนวน 234 ล้านบาท เพื่อแก้ปัญหาการชุมนุมของคนเสื้อแดง

และย้อนไปเมื่อ วันที่ 22 กันยายนที่ผ่านมา ครม.เพิ่งอนุมัติเงินงบประมาณก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณหลายโครงการ ของกระทรวงกลาโหม รวมมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ได้แก่ โครงการจัดหายานยนต์สายสรรพาวุธ วงเงิน 4,994,649,000 บาท ให้กองบัญชาการกองทัพไทย จัดหายานพาหนะและเครื่องจักรกลทดแทน วงเงิน 6,049,536,380 บาท จัดหาปืนเล็กยาวขนาด 5.56 มิลลิเมตร จำนวน 14,264 กระบอก วงเงิน 976,549,671 บาท

และกองทัพเรือ จัดหาเฮลิคอปเตอร์ปราบเรือดำน้ำ แบบซีฮอว์ก วงเงิน 989,985,400 บาท พร้อมจัดหาเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่ง 3 ลำ จำนวน 1,603,177,084.27 บาท

แต่ ถ้าจะให้เห็นภาพที่ชัดเจนต้องมองย้อนกลับไป 3 ปี จะพบรายละเอียดที่น่าสนใจคือ กระทรวงกลาโหมได้รับเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2551-2553 ทั้งสิ้น 467,319,901,100 บาท หรือ 4 แสนล้านบาท

แบ่งเป็นงบประมาณปี 2551 สมัยที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหมได้รับงบประมาณ จำนวน 143,518,901,100 บาท โดยกองทัพบก จำนวน 70,448 ล้านบาท กองทัพเรือ จำนวน 27,839 ล้านบาท และกองทัพอากาศ จำนวน 26,819 ล้านบาท

โดยในปีงบประมาณ 2551 นี้ โครงการใหญ่ที่สำคัญของกองทัพ อาทิ กองทัพบกจัดซื้อรถหุ้มเกราะล้อยางจากยูเครน งบประมาณ 4,600 ล้านบาท รวม 96 คัน จัดซื้อกองทัพอากาศ จัดซื้อเครื่องบินขับไล่กริพเพนจากประเทศสวีเดน จำนวน 6 ลำ วงเงิน 1.9 หมื่นล้านบาท กองทัพเรือ จัดซื้อเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง วงเงิน 3,014 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ในสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ยังมีการอนุมัติเงินกรณีพิเศษให้แก่กองทัพในการปฏิบัติงาน อาทิ งบประมาณ 500 ล้านบาท ให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ใช้ในการจัดกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองแล้ว โดยให้กองทัพบกจัดตั้งกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ที่มีกำลังจาก 4 เหล่าทัพ จำนวนกว่า 13,000 นาย เพื่อความพร้อมปฏิบัติหน้าที่ ณ ที่ตั้งหน่วยตั้งแต่วันที่ 30 พฤศจิกายน 2549-30 กันยายน 2550 และงบประมาณจำนวน 800 ล้านบาท ให้ ทอ.จัดซื้อเครื่องดักฟังโทรศัพท์ นอกจากนี้ ครม.ยังอนุมัติงบประมาณแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ประจำปีงบประมาณ 2550 เพิ่มเติม (งบกลาง) เป็นกรณีเร่งด่วนพิเศษเป็นเงิน 2,000 ล้านบาท ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)

ขณะที่งบประมาณปี 2552 กระทรวงกลาโหม ได้รับ 169,092,000,000 บาท มีโครงการสำคัญที่ ครม.อนุมัติงบประมาณ อาทิ โครงการจัดหาปืนเล็กยาวขนาด 5.56 มิลลิเมตร จำนวน 13,868 กระบอก วงเงิน 964.99 ล้านบาท เพื่อให้กองทัพบกก่อหนี้ผูกพันข้ามปีงบประมาณ โดยปี 2552 ชำระจำนวน 200 ล้านบาท ปี 2553 ชำระ จำนวน 200 ล้านบาท และปี 2554 ชำระอีกจำนวน 564.993 ล้านบาท

ทั้งนี้ เงินงบประมาณปี 2552 จัดทำในสมัยรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี ท่ามกลางสภาพการเมืองที่ไม่นิ่ง ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก มีอำนาจต่อรองทางการเมืองสูง ถือเป็นปีที่กองทัพบกได้รับการจัดสรรงบประมาณซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์หลายรายการ ซึ่งโครงการดังกล่าวแม้ได้รับการอนุมัติหลักการ และวงเงินงบประมาณจากรัฐบาลนายสมัครแล้ว แต่ถูกชะงักไปด้วยสภาพการเมืองและสภาพเศรษฐกิจที่ผ่านมา ทำให้โครงการส่วนใหญ่มาได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการจัดซื้อในสมัยรัฐบาลของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ช่วงปลายปีงบประมาณ 2552 นี้

อาทิ โครงการจัดหายานยนต์สายสรรพาวุธ ชนิดรถยนต์บรรทุกขนาด 2 ตันครึ่ง แบบ 4x4 ยี่ห้ออีซูซุ รุ่น FST จำนวน 1,474 คัน วงเงิน 4,994,649,000 บาท เวลาดำเนินการ 4 ปี ตั้งแต่ปี 2552-2555 โครงการจัดหาอากาศยานฝึก โดยการจัดหาเฮลิคอปเตอร์ขนาดเบา จำนวน 16 ลำ ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552-2555 วงเงิน 1,197,993,366 บาท แบ่งเป็นปี 2552 จำนวน 320 ล้านบาท ปี 2553 จำนวน 320 ล้านบาท ปี 2554 จำนวน 480 ล้านบาท และปี 2555 จำนวน 78 ล้านบาท โครงการซ่อมบำรุงเฮลิคอปเตอร์แบบใช้งานทั่วไประยะที่ 2 (ทบ.1395) ระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2552-2554 วงเงิน 980,336,050 บาท แบ่งเป็นปี 2552 จำนวน 200 ล้านบาท ปี 2553 จำนวน 400 ล้านบาท และปี 2554 จำนวน 380 ล้านบาท

ครม.ยังอนุมัติโครงการใหญ่ให้ทุกเหล่าทัพ อาทิ กองทัพเรือ อนุมัติโครงการพัฒนาขีดความสามารถในการปราบเรือดำน้ำของเฮลิคอปเตอร์ปราบ เรือดำน้ำแบบ SEA HAWK วงเงิน 989,985,400 บาท เวลาดำเนินการ 3 ปี งบฯปี 2552 จำนวน 197,997,080 บาท งบฯปี 2553 จำนวน 386,094,306 บาท และงบฯปี 2554 จำนวน 405,894,014 บาท โครงการจัดหาเรือตรวจการณ์ใกล้ฝั่งจำนวน 3 ลำ ระยะเวลาดำเนินการ 3 ปี วงเงิน 1,603,177,084.27 บาท งบฯปี 2552 จำนวน 314 ล้านบาท งบฯปี 2553 จำนวน 628 ล้านบาท และงบฯปี 2554 จำนวน 661,177,084.27 บาท กองทัพไทย ได้รับอนุมัติโครงการจัดหายานพาหนะและเครื่องจักรกลทดแทน ระยะเวลาดำเนินการ 4 ปี วงเงิน 3,049,536,380 บาท งบฯปี 2552-2553 ปีละ 610,856,800 บาท งบฯปี 2554 จำนวน 814,475,700 บาท และงบฯปี 2555 จำนวน 1,013,347,080 บาท

นอกจากนี้ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ยังอนุมัติเงินงบประมาณให้แก่ กอ.รมน. ในการดำเนินการตามโครงการสู้วิกฤตเศรษฐกิจด้วยปรัชญาพอเพียง โดยให้กำลังพลเข้าไปทำความเข้าใจกับประชาชนในทุกหมู่บ้านชุมชน โดยผ่านการทำงาน 6 เดือนแรกตั้งแต่มีนาคม-สิงหาคม 2552 เสร็จสิ้นไปแล้ว วงเงินงบประมาณ 1,500 ล้านบาท และขณะนี้ กอ.รมน.กำลังเสนอของบประมาณดำเนินการอีกเป็นเวลา 1 ปี โดยแยกเป็น 2 เฟสๆ ละ 6 เดือน ซึ่งวงเงินงบประมาณกว่า 3,000 ล้านบาท

และงบประมาณปี 2553 ที่กระทรวงกลาโหมได้รับ 154,708 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงบฯปี 2552 ลดลง 14,384 ล้านบาท แต่ยังถือเป็นหน่วยราชการอันดับ 4 ที่ได้รับงบประมาณมากที่สุด และยังมีโครงการใหญ่ที่รอการอนุมัติเงินงบประมาณจากรัฐบาลหลายโครงการ อาทิ โครงการการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ เอ็มไอ 17 จากรัสเซีย ของกองทัพบก โครงการจัดซื้อเรือฟริเกตและจัดซ่อมเรือฟริเกต 6 ลำ วงเงิน 3 พันล้านบาท การปรับปรุงอาวุธยุทโธปกรณ์ของเรือรบ ระบบอาวุธปล่อยนำวิถีพื้นสู่พื้น ทดแทน C-801 พร้อมลูกอาวุธปล่อยนำวิถีให้กับเรือฟริเกตชุดเรือรบหลวงเจ้าพระยา วงเงิน 1,599 ล้านบาท ของกองทัพเรือ และโครงการจัดซื้อเครื่องบินขับไล่กริพเพนของกองทัพอากาศ เฟส 2 อีก 6 ลำ วงเงิน 1.9 หมื่นล้านบาท

ทั้งหมดนี้ คืองบประมาณส่วนหนึ่งที่กองทัพได้รับในยุคที่ "สีเขียวสะพรั่ง" มีอิทธิพลต่อการเมืองไทย

แต่เป็น 3 ปี ที่ประเทศชาติบอบช้ำประสบปัญหาสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ

มี การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายแตกแยกทางสีเสื้ออย่างชัดเจน การเมืองมีความแตกแยกทางความคิดและพร้อมที่จะระเบิดกลายเป็นความรุนแรงใน สังคม คนทุกชนชั้นประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งเกิดจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจโลกอยู่ในยุคข้าวยากหมากแพง รัฐบาลต้องกู้ยืมเงินจำนวนมากมากระตุ้นเศรษฐกิจ

จะมีเจ้าของบ้านคนใด บ้างที่บ้านที่ตัวเองอยู่ๆ ใน "ภาวะผุกร่อน" ต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อมาซ่อมแซม แต่กลับเอาเงินส่วนหนึ่งมาใช้ปรับปรุงรั้วให้สวยงามอวดชาวบ้านชาวช่อง ถ้าจะมีก็บ้านนี้เมืองนี้นี้เอง...


หน้า 11
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01pol01021052&sectionid=0133&day=2009-10-02

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
blog
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/ pwd9
http://ktblog1951.blogspot.com/ pwday
http://newsblog9.blogspot.com/ news
http://bloghealth99.blogspot.com/ health
http://labour9.blogspot.com/ labour
http://www.ksmecare.com/docSeminar/520902031848987.pdf
http://www-01.ibm.com/software/th/events/lotusliveevent/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html
http://www.asianbarometer.org/newenglish/introduction/default.htm

"องค์กรอิสระ" เสาหลัก ปชต. กลไกการมี "ส่วนร่วม" หรือเครื่องมือ "ดิสเครดิต"

วันที่ 02 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11528 มติชนรายวัน


"องค์กรอิสระ" เสาหลัก ปชต. กลไกการมี "ส่วนร่วม" หรือเครื่องมือ "ดิสเครดิต"





องค์กร อิสระตามรัฐธรรมนูญที่เด่นๆ และบทบาทนำสำคัญๆ ได้แก่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และศาลรัฐธรรมนูญ เพราะการทำงานเกี่ยวข้องกับนักการเมืองและผู้มีอำนาจ

ป.ป.ช. เป็นองค์กรที่อยู่กระบวนการแรกๆ ของการนำบรรดาพวกขี้ฉ้อ โกงบ้านโกงเมืองเข้าคุกเข้าตะราง

ใน ยุคที่มีการเรียกร้องให้ภาคประชาชน "มีส่วนร่วม" ในการบริหารบ้านเมือง การตั้งองค์กรอิสระขึ้นมาตามรัฐธรรมนูญ วัตถุประสงค์หนึ่งก็เพื่อรองรับการมีส่วนร่วมนี้ เพื่อให้ประเทศไทยมีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี

ซึ่งสามารถตอบโจทก์ของคนไทยได้ไม่น้อย เพราะประชาชนตื่นตัว "ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ" กันแพร่หลาย

ดู ได้จากสถิติเรื่องร้องเรียนในสารบบของ ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ตรวจการแผ่นดิน หรือแม้แต่คดีในศาลปกครอง ซึ่งนับวันจะเพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ

ยุทธศาสตร์ 5 ปีของ ป.ป.ช. กำหนดวิสัยทัศน์ว่า "เป็นองค์กรนำด้านป้องกันและปราบปรามการทุจริตที่ได้รับการยอมรับ เชื่อมั่น และมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในสังคม" โดยมีพันธกิจ มุ่งที่จะปลูกจิตสำนึก คุณธรรม จริยธรรม วินัย และส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พัฒนากลไกการปฏิบัติงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ ฯลฯ

ยุทธศาสตร์ ในระดับปฏิบัติ คือส่งเสริมคุณธรรม จริยธรรม และวินัย รวมพลังป้องกันและปราบปรามการทุจริต สร้างกลไกขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ พัฒนาประสิทธิภาพการปฏิบัติงานป้องกันและปราบปรามการทุจริต พัฒนาองค์กรและสมรรถนะบุคลากรสู่สากล

มีการวางวัตถุประสงค์หลักในการ ทำงานไว้ว่า สังคมทุกภาคส่วนมีค่านิยมเชิดชูคุณธรรม จริยธรรม และวินัย ความเชื่อมั่นและการเข้ามามีส่วนร่วมของสังคมทุกภาคส่วน ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และสังคมทุกภาคส่วนมีค่านิยมเชิดชูคุณธรรม จริยธรรม เป็นต้น

เหล่านี้คือลายแทงการทำงานของ ป.ป.ช. ปี 25512555 ที่สอดรับกับบทบาทหน้าที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ และความคาดหวังของสังคม ??

ป.ป.ช. มีมติ ป.ป.ช. 6 ต่อ 3 ชี้มูลความผิดนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี และนายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีออกมติ ครม.หนุนการลงนามในแถลงการณ์ร่วมสนับสนุนการขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหาร เป็นมรดกโลกของกัมพูชา

พยานหลักฐานที่นำมาประกอบการชี้มูลความผิด นั้นถูกมองกันว่าเป็นพยานที่เป็นปฏิปักษ์ต่อผู้ถูกกล่าวหา โดยเฉพาะเทปปราศรัยของนายประพันธ์ คูณมี แกนนำคนเสื้อเหลือง ที่พูดบนเวทีพันธมิตร เมื่อวันที่ 16 มิ.ย. 2551

"นายสมัครเป็น ฝ่ายขอให้นายนพดลดำเนินการเพื่อช่วยเหลือนายฮุน เซน ในการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 27 ก.ค. 2551 ซึ่งการนำผลประโยชน์ของประเทศชาติมาใช้เป็นเครื่องมือหาเสียงของพรรคการ เมืองต่างประเทศอย่างนี้ หากมองถึงสถานะของนายสมัครที่ได้รับความไว้พระราชหฤทัยให้ดำรงตำแหน่งนายก รัฐมนตรีแล้ว เห็นได้ว่าเป็นสิ่งที่เหลือเชื่อที่จะมีนักการเมืองไทยคนใดจะมีความคิดเช่น นี้ นายสมัครจึงมีเจตนาร่วมกระทำผิดกับนายนพดล" นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. และโฆษก ป.ป.ช. อ้างในระหว่างแถลงข่าว

แต่ล่าสุด นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) บอกว่าไม่เคยได้ยินนายสมัครพูดเรื่องนี้ในที่ประชุม สมช.

เป็นจุดด่างพร้อยของกระบวนการทำงานของ ป.ป.ช. ที่ก่อนหน้านี้เคยถูกมองว่า "อคติ" มีธงในใจ

แล้วจะตอบคำถามเรื่องวัตถุประสงค์ในการสร้างความเชื่อมั่นและการมีส่วนร่วมของสังคมอย่างไร

กรณีการ ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. ให้ดำเนินการรัฐธรรมนูญ มาตรา 275 ถอดถอน ส.ส.และส.ว.จำนวน 124 คน ที่เข้าชื่อเสนอญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญ

การ ยื่นหนังสือให้ตรวจสอบนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กรณีการกระทำผิดรัฐธรรมนูญ มาตรา 265, 267 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 100 (1) (3) และ (4) กรณีการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวกับผลประโยชน์ส่วนรวม

การ ยื่นหนังสือขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีต รองนายกรัฐมนตรี ผบ.ทบ. และประธาน คมช. เนื่องจากสงสัยว่าอาจมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ ตามกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 75

และยังกรณีอื่นๆ อีกจำนวนมากที่มีท่วงทำนองในลักษณะขอแรง "ยืมมือ" ป.ป.ช.ให้ช่วย "เช็คบิล" แทน ซึ่งภาพลักษณะนี้มองเห็นได้ในทุกองค์กรอิสระ

ในยามที่ผู้คนในสังคมเปราะบางทางอารมณ์และความเชื่อ หากองค์กรอิสระไม่ยึดหลักการให้มั่น ทำงานตรงไปตรงมา อาจทำงานเข้าทางของใครบางพวก ที่ขอยืมดาบไปห้ำหั่นปรปักษ์ !!


หน้า 3
http://www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01col01021052&sectionid=0116&day=2009-10-02

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
blog
http://sunblog1951.blogspot.com/ sunday
http://blogpwd.blogspot.com/
http://newsblog9.blogspot.com/
http://bloghealth99.blogspot.com/
http://labour9.blogspot.com/
http://www.ksmecare.com/docSeminar/520902031848987.pdf
http://www-01.ibm.com/software/th/events/lotusliveevent/
http://www.mict4u.net/thai/
http://www.chula.ac.th/visitors/thai/calendar.htm
http://www.agkmstou.com/2008/index.php
http://www.baanjomyut.com/library/lotus/index.html

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

กมธ.พบส่อทุจริต 7 พันล้านเช่าเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน "โสภณ"ฟิตนัดถกแผนสัปดาห์หน้า คาดเปิดประมูล พ.ย.นี้

วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552 เวลา 20:28:19 น.  มติชนออนไลน์

กมธ.พบส่อทุจริต 7 พันล้านเช่าเมล์เอ็นจีวี 4 พันคัน "โสภณ"ฟิตนัดถกแผนสัปดาห์หน้า คาดเปิดประมูล พ.ย.นี้

รม ว.คมนาคมนัดถกทำแผนจัดเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันสัปดาห์หน้า ก่อนเปิดประมูลเดือน พ.ย. นี้ "สาทิตย์" ยันไม่ได้เอื้อให้ภูมิใจไทย แต่รับเป็นเรื่องที่รัฐบาลห่วง กมธ.เผยผลศึกษาพบส่อทุจริต 7 พันล้าน ติงอย่าบวก "ค่าการทุจริต-บริหารพลาด" ในค่าโดยสาร

คาดประมูลเช่ารถเมล์ พ.ย.


นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงความคืบหน้าถึงการดำเนินการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้เช่าเมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมาว่า ในวันที่ 1 ตุลาคม กระทรวงคมนาคม จะส่งหนังสือถึงผู้เกี่ยวข้อง อาทิ สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) เพื่อให้ส่งตัวแทนเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการพิเศษเพื่อตรวจสอบความโปร่งใสร่าง ทีโออาร์ (ข้อกำหนดเงื่อนไขการประกวดราคา) และการจัดเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน จากนั้นจะจัดทำรายละเอียดตามมติ ครม.ทั้งเรื่องสถานีเติมก๊าซเอ็นจีวี อู่จอดรถ และแผนโครงการเกษียณก่อนกำหนด คาดว่าจะดำเนินการจัดทำรายละเอียดให้แล้วเสร็จภายในเดือนตุลาคมนี้ เพื่อเปิดประมูลภายในเดือนพฤศจิกายน


"สำหรับผู้ที่จะมาเป็นประธานคณะกรรมการพิเศษ จะต้องหาคนที่พอบอกชื่อแล้วทุกคนเชื่อมั่นและให้การยอมรับได้ทันที" นายโสภณกล่าว และว่า สำหรับอู่จอดรถและค่าใช้จ่ายในการจัดทำโครงการเกษียณก่อนกำหนดของพนักงาน ขสมก. เป็นเรื่องที่ต้องใช้งบประมาณ แต่ปีงบประมาณ 2553 ไม่ได้ตั้งงบฯไว้ ดังนั้น จะต้องหาทางออกด้วยการแบ่งระยะการใช้เงินออกเป็นช่วงๆ โดยการจัดหาอู่จอดรถนั้น ขมสก.มีอยู่แล้ว 16 แห่ง โดยเป็นของ ขสมก. 7 แห่ง เช่าจากหน่วยงานราชการ 4 แห่ง และเช่าจากเอกชน 5 แห่ง ซึ่งในส่วนของการเช่าเอกชนจะทำสัญญาเช่าซื้อ และจะต้องจัดหาอีก 3 แห่ง โดยการจัดซื้อภายใน 2 ปี ส่วนเรื่องบุคลากรจะทำรายละเอียดเพื่อแจกแจงว่าแต่ละส่วนจะต้องใช้บุคลากรใน การทำงานเท่าใด คาดว่าจะต้องทยอยเกษียณก่อนกำหนดเป็นเวลา 2 ปี


นัดทำแผนสัปดาห์หน้า


ด้าน นางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) เปิดเผยว่า สัปดาห์หน้ากระทรวงคมนาคมจะประชุมหารือเพื่อจัดทำแผนรายละเอียดการจัดเช่ารถ เมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน ทั้งการจัดหาอู่จอดรถพร้อมทั้งติดตั้งสถานีเติมก๊าซเอ็นจีวี รวมทั้งแผนเกษียณอายุก่อนกำหนด จำนวน 7,009 คน สำหรับกรณีพนักงานนั้นจริงๆ แล้วตามแผนก็ให้เกษียณอายุก่อนกำหนดจำนวน 7 พันคนมาตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ไม่ได้เอาออกครั้งเดียวหมด แต่จะค่อยๆ ทำ ล่าสุดมีพนักงานที่สมัครใจลาออกแล้วประมาณ 2,500 คน


"สาทิตย์" ยันเช่ารถเมล์ไม่เอื้อ ภท.


ด้าน นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การผ่านความเห็นชอบโครงการรถเมล์เอ็นจีวีของ ครม.เป็นการอนุมัติแบบมีเงื่อนไข โดยเห็นควรให้แยกประมูลเป็นส่วนๆ เพื่อสะดวกต่อการตรวจสอบ ไม่ได้เป็นการเอื้อผลประโยชน์ให้กับพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย แม้ว่าก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์จะเคยออกมาคัดค้าน แต่เนื่องจากการพิจารณาครั้งนี้เป็นการพิจารณาตามการศึกษาของสำนักงาน พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่ได้ศึกษาอย่างมีหลักการและเหตุผล ดังนั้น จึงเชื่อว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ ส่วนกรณีที่ 40 ส.ว.แสดงความเป็นห่วงว่าประเด็นนี้อาจจะล้มรัฐบาลได้นั้น ตนยอมรับว่าเป็นเรื่องที่รัฐบาลเป็นห่วง


กมธ.ข้องใจส่อทุจริต 7 พันล้าน


ด้านนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎรแถลงว่า มติ ครม.ให้เช่ารถเมล์ 4,000 คัน เป็นการอนุมัติในหลักการแบบมีเงื่อนไข 5 ข้อ ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามก่อนเช่ารถมาวิ่งได้เช่น การให้พนักงาน ขสมก. 7,009 คน เกษียณก่อนกำหนด หาอู่และสถานที่เติมก๊าซเอ็นจีวี ซึ่ง ปตท.เคยชี้แจงว่าน่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะใช้งบประมาณ 3,000 ล้านบาท จึงต้องดำเนินการตา มพ.ร.บ.ร่วมทุนด้วย ซึ่งตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฉบับใหม่ที่เพิ่งผ่านความเห็นชอบจากสภาไปแล้วนั้น บริษัทที่ได้รับสัมปทานจะต้องเปิดบัญชีพร้อมรายงานรายรับรายจ่ายต่อ ป.ป.ช.เพื่อให้สามารถตรวจสอบความโปร่งใสด้วย


"กมธ.เคยศึกษาแล้วพบว่า โครงการเช่ารถเมล์มีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการทุจริต 7,000 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าเช่ารถที่แพงกว่าปกติ 3,000 ล้านบาท และค่าซ่อมบำรุงที่แพงขึ้นอย่างไม่มีเหตุผลอีก 4,000 ล้านบาท นอกจากนี้ สศช.ก็เคยอนุมัติโครงการเช่ารถเมล์ยูโรวันและยูโรทู ซึ่งภายหลังพบว่าทั้ง 2 โครงการทุจริตและขาดทุนอย่างย่อยยับ โดยเฉพาะโครงการเช่ารถเมล์ยูโรทู ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) พบว่า มีความเสียหายถึง 1,500 ล้านบาท จึงไม่รู้ว่า สศช.คิดอะไรจึงอนุมัติโครงการเช่ารถเมล์เอ็นจีวีที่เป็นโครงการลักษณะเดียว กันอีก อยากเรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องกับโครงการทุกคน อย่าหลอกลวงชาวบ้าน ด้วยการบวกค่าการทุจริตและความเสียหายจากความผิดพลาดในการบริหารเข้าไปในค่า โดยสาร" นายชาญชัยกล่าว

 

 



อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
โฆษก"มาร์ค"โต้โครงการเมล์ 4 พันคัน-ซื้ออาวุธ มาจากรบ."แม้ว"
ภท.ย้ำไม่มีต่อรองเมล์เช่าแลกแก้รธน. 40ส.ว.ซัดผลประโยชน์ลงตัว ขู่ระวังโดนคดีเหมือนรบ.สมัคร-สมชาย
พท.ซัดรบ.อนุมัติเช่ารถเมล์ เพื่อตอบแทนผลประโยชน์
"ชวรัตน์-ประจักษ์"พอใจเช่ารถเมล์เอ็นจีวี6.6หมื่นล.ผ่านครม. หลังสศช.ไฟเขียว ปัดล็อคสเปค-ยันโปร่งใส
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1254317361&grpid=04&catid=

--
      Weblink
seminar
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminarsat.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com
www.ipthailand.org

วันพุธที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552

ศาลฎีกาฯสั่งจำคุก"วราเทพ -สมใจนึก-ชัยวัฒน์" 2 ปี คดีหวยบนดิน รอลงอาญา 2 ปี



--
   กลับไป-หน้าก่อนหน้า

วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552 เวลา 18:00:16 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ศาลฎีกาฯสั่งจำคุก"วราเทพ -สมใจนึก-ชัยวัฒน์" 2 ปี คดีหวยบนดิน รอลงอาญา 2 ปี

คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง   ตัดสินคดีการออกสลากเลขท้าย 2 และ 3 ตัว ในรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  ดังนี้

   

ศาลฎีกาฯ ยกฟ้องครม.แม้ว-บอร์ดสลากกินแบ่งฯ ไม่มีความผิด

  

กรณี  พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร  สั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว  รอให้จับตัวมาดำเนินดคี  

  

คำพิพากษา ตัดสินลงโทษ จำเลย  3  คน
1.นายวราเทพ รัตนากร"อดีตรมช.คลัง สั่งจำคุก 2 ปี ปรับ 2 หมื่นบาท
2.นายสมใจนึก เองตระกูล"อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่ง รัฐบาล และ 
3.นายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล  โดนโทษจำคุก 2 ปี ปรับ1หมื่นบาท แต่ให้รอลงอาญา 2 ปี ทั้ง 3 ราย โดยไม่ต้องชดเชยค่าเสียหาย 3.6 หมื่นล้าน

   

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมใจนึก ไม่ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา ซึ่งศาลได้ออกหมายจับและให้ปรับนายประกัน

 

สำหรับรายชื่อของผู้ถูกกล่าวหาในคดีนี้ มีจำนวน 47 คน ประกอบไปด้วย


 1. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
 2. พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี
 3. นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี
 4. นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี
 5. นายกร ทัพพะรังสี อดีตรองนายกรัฐมนตรี
 6. ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี
 7. นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกรัฐมนตรี
 8. พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรี (รมว.) ว่าการกระทรวงกลาโหม
 9. ร.อ.สุชาติ เชาว์วิศิษฐ อดีต รมว.คลัง
10. นายวราเทพ รัตนากร อดีตรัฐมนตรีช่วย (รมช.) ว่าการกระทรวงการคลัง


11. นายสนธยา คุณปลื้ม อดีต รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา
12. นายอนุรักษ์ จุรีมาศ อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
13. นายสรอรรถ กลิ่นประทุม อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์
14. นายเนวิน ชิดชอบ อดีต รมช.เกษตรและสหกรณ์
15. นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคม
16. นายพิเชษฐ สถิรชวาล อดีตรมช.คมนาคม
17. นายนิกร จำนง อดีต รมช.คมนาคม
18. นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีต รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
19. นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีต รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
20. นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีต รมว.พลังงาน


21. นายอดิศัย โพธารามิก อดีต รมว.พาณิชย์
22. นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมช.พาณิชย์
23. นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา อดีต รมว.มหาดไทย
24. นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา อดีต รมว.ยุติธรรม
25. นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีต รมว.แรงงาน
26. นางอุไรวรรณ เทียนทอง อดีต รมว.วัฒนธรรม
27. นายพินิจ จารุสมบัติ อดีต รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
28. นางสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีต รมว.สาธารณสุข
29. พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก อดีต รมช.สาธารณสุข
30. นายสมศักดิ์ เทพสุทิน อดีต รมว.อุตสาหกรรม


31. นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล
32. นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง
33. นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ในฐานะผู้แทนกระทรวงมหาดไทย
34. นายพรชัย นุชสุวรรณ ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ
35. นางสาวสุรีพร ดวงโต ในฐานะผู้แทนกรมบัญชีกลาง
36. นายณัฐวิช อินทุภูมิ ในฐานะผู้แทนสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย
37. นายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีตผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
38. นายกำธร ตติยกวี
39. พล.ต.ต.สุรสิทธิ์ สังขพงศ์ อดีตผู้อำนวยสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
40. นายชัยฤกษ์ ดิษฐอำนาจ ในฐานะผู้แทนกระทรวงมหาดไทย
41. นายวุฒิพันธุ์ วิชัยรัตน์ ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ
42. พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์
43. นางสตรี ประทีปปะเสน ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ
44. นายอำนวยศักดิ์ พูลศิริ
45. พล.ต.ท.อิสระพันธ์ สนิทวงศ์ ณ อยุธยา
46. นายบัณฑูร สุภัควณิช ในฐานะผู้แทนสำนักงบประมาณ และ
47. นางอรอนงค์ มณีกาญจน์ ผู้แทนกรมบัญชีกลาง

  ซึ่งเป็นกรรมการ (บอร์ด) สลากกินแบ่งรัฐบาล

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1254308446&grpid=03&catid=00

      Weblink
seminar
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminarsat.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

เจาะขุมข่ายธุรกิจบุญยรัตกลิน รวยจริง ไม่ติงนัง "ขนิษฐา -วิจิตร" 2 น้องสาวบิ๊กบัง ทำธุรกิจเฟอร์ฯ

วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2552 เวลา 13:49:04 น.  ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เจาะขุมข่ายธุรกิจบุญยรัตกลิน รวยจริง ไม่ติงนัง "ขนิษฐา -วิจิตร" 2 น้องสาวบิ๊กบัง ทำธุรกิจเฟอร์ฯ
 

ผลพวงรัฐประหาร 19 กันยายน เศรษฐกิจพังยับ อดีตนายกฯทักษิณ บอกว่า ประเทศไทยได้เศรษฐีใหม่ ยศพลเอก ไม่กี่คน ประชาชาติธุรกิจ ตามไปเจาะถุงเงิน บิ๊กบัง ว่าที่หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ เหตุไฉน พลเอก รับแค่เงินเดือน กองทัพ แต่รวยกว่า 95 ล้าน เจาะเครือข่ายธุรกิจ ตระกูลบุญยรัตกลิน เจอ ตัว "ขนิษฐา" น้องสาวประธาน
 คมช.

 ....3  ปี หลังรัฐประหาร 19 กันยายน    พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร    อดีตนายกฯ ออกมาแฉว่า  ไม่เห็นมีอะไรดีขึ้น
     ผลพวง รัฐประหาร ประเทศไทย ได้เศรษฐีใหม่มาไม่กี่คน ...แล้วส่วนใหญ่จะเป็นยศพลเอก
    หนึ่งในพลเอกที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องการพาดพิงถึง หนีไม่พ้น หัวหน้าคณะรัฐประหาร
    นั่นคือ  พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน   อดีต ประธานคมช.
    ปลาย กันยายนที่ผ่านมา "พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ "  โฆษกพรรคเพื่อไทย(พท.) รับลูกนายใหญ่   
     ยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ตรวจสอบ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ(คมช.) มีพฤติการณ์ที่ร่ำรวยผิดปกติหรือไม่


   การยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.อ.สนธิ สมัยดำรงตำแหน่งและพ้นจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ พบว่า พล.อ.สนธิ มีทรัพย์สิน รวมกับภริยา 2 คน และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ 1 คนเป็นเงินรวมกันกว่า 95 ล้านบาท และ พล.อ.สนธิ ยังมีภริยาอีก 1 คน และบุตรอีก 5 คน


   ก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวว่า พลเอกแห่ง คมช. เตรียมจัดตั้งพรรคการเมืองชื่อ มาตุภูมิ  เตรียมการเลือกตั้ง สมัยหน้า
   " ประชาชาติธุรกิจ"     ตรวจสอบ ความร่ำรวยของ บิ๊กบัง มานำเสนอผู้อ่าน  ดังนี้ 
     พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน อดีตรองนายกรัฐมนตรีและ อดีต ประธานคมช.  ยื่นบัญชีทรัพย์สินปปช. ครั้งล่าสุด ( 5 กุมภาพันธ์ 2552 พ้นจากตำแหน่ง ครบ 1 ปี) มีทรัพย์สินทั้งสิ้น 46.4 ล้านบาท  แบ่งเป็น เงินฝาก 9 บัญชี จำนวน 26.6 ล้านบาท   เงินลงทุน 11.2 ล้านบาท  ที่ดิน 6 แปลง 76 ไร่  รวมมูลค่า 6.3 ล้านบาท   บ้าน 1 หลังมูลค่า 7 แสนบาท  รถยนต์ 1.5 ล้านบาท  มีหนี้สิน เงินกู้จากธนาคารและสถาบันการเงินอื่น  1.2 ล้านบาท
     ขณะที่คู่สมรส นางสุกัลยา แจ้งว่ามีทรัพย์สินทั้งสิ้น 15.2 ล้านบาท แบ่งเป็น เงินฝาก 6 บัญชี 1.6 ล้านบาท   ที่ดิน 4 แปลง  5.2 ล้านบาท บ้าน 2 หลัง รวม 4.2 ล้านบาท 
รถยนต์ 2 คัน 3.5 ล้านบาท  ทรัพย์สินเครื่องประดับ 522,000 บาท
     ส่วนบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีเงินฝาก 532,313 บาท
     รวมมีทรัพย์สินรวมกันทั้งสิ้น 60.9 ล้านบาท  !!!


     อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านั้น พล.อ.สนธิ และ 2 ภรรยา คือ นางสุกัลยา และนางปิยะดา  บุญยรัตกลิน สร้างความฮือฮา หลังจากแจ้งต่อป.ป.ช.กรณีรับตำแหน่งรองนายกฯ
( 5 ตุลาคม 2550 ) ว่ามีทรัพย์สินรวมกัน ถึง 94.9 ล้านบาท
    โดยเป็นทรัพย์ของ พล.อ.สนธิ 38.7 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินฝาก  10.2 ล้านบาท เงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ สนศ.13.3 ล้านบาท เงินลงทุน 11.2 ล้านบาท บ้าน 1 หลัง 4 ล้านบาท ไม่มีหนี้สิน
    ขณะที่นางสุกัลยา บุญยรัตกลิน ภรรยาคนแรก แจ้งว่ามีทรัพย์สิน 14.1 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินฝากธนาคาร 3.9 ล้านบาท ที่ดิน 1 แปลง 1.3 ล้านบาท บ้านอาศัย 2 หลัง 4.2 ล้านบาท รถยนต์ 2 คัน 4.1 ล้านบาท
    ส่วนนางปิยะดา บุญยรัตกลิน ภรรยาคนที่สอง มีทรัพย์สิน  42 ล้านบาท แบ่งเป็นเงินฝากธนาคาร 738,784 บาท เงินฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ 6.4 ล้านบาท ที่ดิน 16 แปลง 16.6 ล้านบาท (ป.ป.ช.ตรวจพบ 17 แปลง) บ้าน 2 หลัง 11.7 ล้านบาท ตึกแถว 1 หลัง 2 ล้านบาท รถยนต์ 5 คัน 3.7 ล้านบาท และทรัพย์สินอื่น 815,000 บาท
      และทรัพย์สินของ นางสาวศศิภา บุญยรัตกลิน บุตรสาวยังไม่บรรลุนิติภาวะ 323,702 บาท
     ไม่รวมทรัพย์สินของบุตรที่บรรลุนิติภาวะแล้ว คือ พ.ต.ต.สุทธิเวท บุญยรัตกลิน ร้อยโทสุธาวิทย์ บุญยรัตกลิน เรือโทนิธิ บุญยรัตกลิน นายนิรินทร์ บุญยรัตกลิน และนายเอกรินทร์ บุญยรัตกลิน
    และน้องสาว 4 คน คนแรกชื่อ นางพรทิพย์ ตุลยสวัสดิ์ อายุ 51 ปี คนที่สอง นางขนิษฐา บุญยรัตกลิน  อายุ 49 ปี คนที่สาม นางวิจิตรา บุญยรัตกลิน อายุ 43 ปี และคนที่สี่ นางยุพาวดี บุญยรัตกลิน อายุ 40 ปี และน้องชายชื่อ นายสาธิต บุญยรัตกลิน อายุ 45 ปี


    ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวตรวจสอบพบว่า คนในตระกูลบุญยรัตกลิน มิได้รับราชการอย่างเดียว หากแต่ทำธุรกิจด้วย
    นางขนิษฐา บุญยรัตนกลิน น้องสาวบิ๊กบัง ทำธุรกิจมาตั้งแต่ปลายปี 2538 ร่วมกับ นายมาโนชญ์ ผลทวี ในชื่อ หจก.บายอัส จดทะเบียนวันที่ 8 ธันวาคม 2536 ทุน 1 ล้านบาท รับจ้างออกแบบตกแต่งภายใน-นอกอาคาร ที่ตั้งอยู่ในซอยวัดจันทร์ในถนนรัชดาภิเษก  ปี 2540 มีรายได้ 9.5 แสนบาท กำไรสุทธิ 48,510 บาท มีสินทรัพย์ 1.5 ล้านบาท และมิได้ทำกิจการ
      จากนั้น วันที่ 1 เมษายน 2539 นางขนิษฐาร่วมกับนายมาโนชญ์คนเดิม ก่อตั้งบริษัท บายอัส ไชเน็ท จำกัด ทุน 1 ล้านบาท จำหน่ายงานวัสดุตกแต่งและงานป้าย (ขายส่ง) ที่ตั้งเลขที่เดียวกัน ปี 2540 มีรายได้ 4.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1.7 แสนบาท ปี 2541 มีรายได้ 2.7 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 1.87 แสนบาท และเลิกกิจการในปี 2548


     ปัจจุบัน เป็นเจ้าของธุรกิจรับออกแบบและตกแต่งชื่อ บริษัท เอกายไชน์ เฟอร์นิเจอร์ อินดัสเตรียล จำกัด ก่อตั้งวันที่ 22 มกราคม 2547 ทุน 2 ล้านบาท ที่ตั้งอยู่ในซอยประชาอุทิศ 54 ถนนประชาอุทิศ เขตทุ่งครุ กรุงเทพฯ นางขนิษฐา ถือหุ้น 1,100 หุ้น นายนพดล ยุทธมนตรี นางยุพดี เต นายนพดล บุญยรัตกลิน นายมาโนชญ์ ผลทวี นายศิริพงศ์ เย็นอังกูร และนางสุจิรา โฮวเต็ว คนละ 150 หุ้น หุ้นละ 1,000 บาท ทั้งหมด 2,000 หุ้น
     ปี 2548 มีรายได้ถึง 18.5 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1.6 ล้านบาท มีสินทรัพย์ 8.9 ล้านบาท
    ขณะที่นางวิจิตรา เป็นเจ้าของบริษัท รัตกลิน จำกัด ก่อตั้งวันที่ 24 มีนาคม 2548 ทุน 1 ล้านบาท ประกอบธุรกิจบริการด้านอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ในซอยประชาอุทิศ 91/2 ถนนประชาอุทิศ นางวิจิตรา ถือหุ้น 6,500 หุ้น นางสาวพิมพ์ชนก จั่นเพชร 3,000 หุ้น นางพรทิพย์ ตุลยสวัสดิ์ นายจิระศักดิ์ เทพบรรยง นายณัฐพล บุญยรัตนกลิน นางอัญชลี พงษ์พิชัย และนายองอาจ บุญยรัตกลิน คนละ 100 หุ้น รวม 10,000 หุ้น หุ้นละ 100 บาท ปี 2548 มีรายได้ 5.2 ล้านบาท กำไรสุทธิ 364,529 บาท มีสินทรัพย์ 2.3 ล้านบาท
      ถ้ารวมรายได้บริษัท เอกายไชน์ฯ และบริษัท รัตกลิน ในรอบปี 2548 รายได้ 23.7 ล้านบาท กำไรสุทธิประมาณ 2 ล้านบาท
      กล่าวสำหรับ นางขนิษฐา ก่อนหน้านี้ ( 17 สิงหาคม 2550)  เคยตกเป็นข่าวว่าถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรกัมพูชา จับกุมในข้อหาลักลอบนำรถยนต์วีโก้แค็ป สีน้ำเงิน ทะเบียน ตศ3121 กรุงเทพฯ พวงมาลัยขวา วิ่งข้ามฝั่งจากอรัญประเทศมุ่งหน้าสู่กรุงพนมเปญประเทศกัมพูชา
       ครั้งนั้น มีข่าวว่านางขนิษฐาเดินทางไปกัมพูชาเพราะเข้าไปรับเหมาตกแต่งร้านให้แก่ บริษัท เดอะพิซซา ซึ่งเข้าไปเปิดสาขาที่กรุงพนมเปญ โดยเป็นผู้ขับรถยนต์คันดังกล่าวเข้าไปด้วยตัวเอง ทำเรื่องขออนุญาตผ่านด่านศุลกากรและทำใบขนย้ายสินค้า แต่ไม่ได้ขออนุญาตนำรถยนต์จากฝั่งไทยเข้าไปใช้ในกัมพูชาทำให้ถูกจับ
      เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามข้อเท็จจริงจาก พล.อ.สนธิ ซึ่งขณะนั้นปฏิบัติภารกิจที่ประเทศสิงคโปร์ คำตอบที่ได้รับคือ  มีน้องสาวชื่อ "ขนิษฐา" จริง แต่ยังไม่ได้ตรวจสอบว่าเป็นคนคนเดียวกันกับคนที่ถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากร กัมพูชาจับกุมตัวไว้หรือไม่ และไม่ได้บอกรายละเอียดธุรกิจของน้องสาวแต่อย่างใด
      หลังจากนั้น ชื่อของเธอก็เงียบหายไป จนกระทั่ง พล.อ.สนธิ ได้เปิดเผยในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินว่ามีน้องสาวชื่อ "ขนิษฐา"

-- http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1254286325&grpid=00&catid=00
http://www.kmutnb.ac.th/index.htm
http://www.ecitthai.net
http://www.tourismthailand.org/seminar/
http://www.thaihotels.org/
http://www.tuasso.com/scripts/tua.asp
http://www.bangkokfilm.org
http://www.lek-prapai.org/
http://www.paper4trees.org/index1.htm

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

เปิดวิจัย"ร้อน"ซื้อขาย"เก้าอี้ทองคำ"กระทรวงเกรดA-มีทั้งประมูล-ดาวน์-ซื้อขาด-พ่อค้าวางมัดจำ

 


 
วันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2552 เวลา 20:30:49 น.  มติชนออนไลน์

เปิดวิจัย"ร้อน"ซื้อขาย"เก้าอี้ทองคำ"กระทรวงเกรดA-มีทั้งประมูล-ดาวน์-ซื้อขาด-พ่อค้าวางมัดจำ

ข่าว อื้อฉาวในการซื้อขายตำแหน่งผู้ว่าฯ ในกระทรวงหมาดไทย หรือ"นายพล"ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า การซื้อขาย"เก้าอี้ทองคำ"ในระบบราชการมีจริงหรือไม่ หาคำตอบได้จากผลงานวิจัย"ร้อน"ชิ้นนี้

ข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับนักการเมืองใหญ่ที่ไม่มีในตำแหน่งในรัฐบาล แต่มีอิทธิพลเหนือกระทรวงมหาดไทยเรียกข้าราชการระดับรองผู้ว่าราชการจังหวัด และรองอธิบดีประมาณ 20 คนเข้าไปพบเป็นรายตัวและแจ้งให้ทราบว่า ถ้าต้องการตำแหน่งผู้ว่าฯต้องหาเงินสนับสนุนพรรครายละ 10-15 ล้านบาทและช่วยเหลือผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคในการเลือกตั้ง ถ้ามีการยุบสภา สร้างความเดือดดาลให้แก่นายชวรัตน์ ชาญวีรกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเป็นอย่างมาก อ้างว่า  เป็นการปล่อยข่าวทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคภูมิใจไทย และสั่งหาตัว"ต้นตอ"ในการปล่อยข่าว

 

อย่างไรก็ตามมีกระแสข่าวว่า นอกจากเรียกเงินจากผู้ที่มีโอกาสได้รับแต่งตั้งจากระดับรองผู้ว่าฯและรองอธิบดีเป็นผู้ว่าฯแล้ว ยังมีการเรียกเงินจากผู้ว่ฯที่ดำรงตำแหน่งอยู่แล้ว โดยต่อรองว่า ถ้าต้องการอยู่ในจังหวัดใหญ่ๆต่อไปก็ต้องหาเงินสนับสนุนำพรรคเช่นกัน

 

นอกจากข่าวซื้อชายเก้าอี้ในกระทรวงมหาดไทยแล้ว ยังมีการตั้งอนุกรรมการข้าราชการตำรวจชุดพิเศษขึ้นมาสอบข้อเท็จจริงเรื่อง การซื้อขายเก้าอี้ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วย ซึ่งในเบื้องต้นอนุกรรมการฯสรุปผลการสอบสวนว่า มีพิรุธในการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจหลายตำแหน่ง

 

เพื่อให้เห็นภาพรวมการซื้อขายตำแหน่งในระบบราชการ "มติชนออนไลน์" ขอนำสรุปรายงานการการวิจัยเรื่อง"การคอร์รัปชั่นในการซื้อขายตำแหน่งในระบบราชการ" โดย ผศ. ดร.ชินนะงษ์ บำรุงทรัพย์ และคณะที่เสนอต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ในปี 2546 มานำเสนอ

********************************
การวิจัยนี้เป็นการสำรวจความคิด เห็นของข้าราชการเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่นในการซื้อขายตำแหน่งในระบบราชการ ข้าราชการที่ให้ข้อมูลอาจจะเป็นข้าราชการที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการซื้อ ขายตำแหน่งด้วยตนเองหรืออาจจะเป็นข้าราชการที่เคยได้ยิน ได้พบเห็น หรือเชื่อว่ามีการซื้อขายตำแหน่ง


การวิเคราะห์ข้อมูลจึงวิเคราะห์ตามข้อมูลความคิดเห็นที่รวบรวมได้ ทั้งข้อมูลเชิงปริมาณ และข้อมูลเชิงคุณภาพที่ได้จากคำถามปลายเปิดในแบบสอบถามและการสัมภาษณ์เจาะ ลึกจากการศึกษาข้าราชการที่สังกัดกระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงการคลัง และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยการสำรวจความคิดเห็น ของข้าราชการตั้งแต่ระดับ 7 ขึ้นไป ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค โดยใช้แบบสอบถามจำนวนทั้งสิ้น 2,668 ราย และโดยการสัมภาษณ์เจาะลึก จำนวน 60 ราย สรุปผลได้ ดังนี้


จากผลการสำรวจความคิดเห็นของข้าราชการเกี่ยวกับปัจจัยที่เอื้ออำนวย หรือมูลเหตุ/แรงจูงใจ ที่ทำให้มีการคอร์รัปชั่นในการซื้อขายตำแหน่งในภาพรวมพบว่า ข้าราชการที่เป็นกลุ่มตัวอย่างเห็นด้วยในระดับปานกลางว่า มีปัจจัยที่เอื้ออำนวยหรือมูลเหตุ/แรงจูงใจ ที่ทำให้มีการคอร์รัปชั่นในการซื้อขายตำแหน่งในหน่วยงาน


แต่เมื่อพิจารณาความคิดเห็นของข้าราชการที่เป็นกลุ่มตัวอย่างจำแนกตามหน่วยงานพบว่า  ข้าราชการสังกัดสำนักงานตำรวจชาติเห็นด้วยค่อนข้างมากว่า มีปัจจัยที่เอื้ออำนวยหรือมูลเหตุ/แรงจูงใจ ที่ทำให้มีการคอร์รัปชั่นในการซื้อขายตำแหน่งในหน่วยงาน


ในขณะที่ข้าราชการสังกัดหน่วยงานอื่นๆ ต่างเห็นด้วยในระดับปานกลางว่า มีปัจจัยที่เอื้ออำนวยหรือมูลเหต/แรงจูงใจที่ทำให้มีการคอร์รัปชั่นในการซื้อขายตำแหน่งในหน่วยงาน


จากผลการสำรวจทัศนคติจของข้าราชการที่เกี่ยวกับการคอร์รัปชั่นในการ ซื้อขายตำแหน่งในภาพรวมพบว่า ข้าราชการที่เป็นกลุ่มตัวอย่างมีทัศนคติที่ไม่ดีหรือไม่เห็นด้วยต่อการ คอร์รัปชั่นในการซื้อขายตำแหน่ง


แต่เมื่อพิจารณาทัศนคติของข้าราชการที่เป็นกลุ่มตัวอย่างจำแนกตาม หน่วยงาน พบว่า ข้าราชการในเกือบทุกสังกัดมีทัศนคติที่ไม่ดี หรือไม่เห็นด้วยต่อการคอร์รัปชั่นในการซื้อขายตำแหน่ง

 

ยกเว้นกลุ่มตัวอย่างข้าราชการสังกัดสำนักงานตำรวจ แห่งชาติที่มีทัศนคติต่อการคอร์รัปชั่นในการซื้อขายตำแหน่งที่แตกต่างจากข้า ราชการหน่วยงานอื่น กล่าวถึงมีทัศนคติว่า การคอร์รัปชั่นในบางประเด็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา


จากผลการสำรวจความคิดเห็นของข้าราชการเกี่ยวกับการคอร์รัปชั่นในการ ซื้อขายตำแหน่งในหน่วยงานราชการในภาพรวม พบว่า ข้าราชการที่เป็นกลุ่มตัวอย่างมีความคิดว่า มีการคอร์รัปชั่นในการซื้อขายตำแหน่งในหน่วยงานในระดับค่อนข้างน้อย


แต่เมื่อพิจารณาในแต่ละข้อคำถามพบว่า ข้าราชการส่วนใหญ่เคยได้ยิน/เชื่อ/แน่ใจว่ามีบางคนในหน่วยงานได้รับหรือไม่ได้รับการแต่งตั้ง/โยกย้าย/เลื่อนตำแหน่งอย่างไม่เป็นธรรม หรือใช้ระบบเล่นพรรคเล่นพวก ในระดับปานกลางถึงค่อนข้างมาก


จากการศึกษาสาเหตุและแรงจูงใจที่ทำให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นในการซื้อขายตำแหน่งในระบบราชการ พบว่า  1) ค่านิยมทางสังคม 2) โครงสร้างองค์กร 3) ผลประโยชน์ที่ได้รับทั้งทางตรงและทางอ้อมจากตำแหน่งหน้าที่ 4) ความซื่อสัตว์สุจริตของบุคคล

 

5) ความบกพร่องในระบบการแต่งตั้ง/โยกย้าย/เลื่อนตำแหน่ง 6) การแทรกแซงของนักการเมือง และ 7) สภาวะแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจ และสังคม มีผลที่ทำให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นในการซื้อขายตำแหน่งในระบบราชการ


ในการศึกษาเกี่ยวกับวิธีการคอร์รัปชั่นในการซื้อขายตำแหน่งในระบบราชการ พบว่า มีวิธีการที่หลากหลายแตกต่างกัน ดังนี้


- ข้าราชการที่ต้องการได้รับการเลื่อนตำแหน่ง/แต่งตั้ง/โยกย้าย อาจจะติดต่อกับคนใกล้ชิด คนสนิท ของผู้มีอำนาจซึ่งมีทั้งข้าราชการและนักการเมือง


- คนใกล้ชิด คนสนิทของผู้มีอำนาจเป็นผู้ติดต่อกับข้าราชการที่อยู่ในข่ายจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง/แต่งตั้ง/โยกย้าย


- ข้าราชการที่หวังจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง/แต่งตั้ง/โยกย้าย พยายามทำตัวใกล้ชิดรับใช้ผู้มีอำนาจเพื่อผลประโยชน์ดังกล่าว


สำหรับผลประโยชน์ตอบแทนของการซื้อขายตำแหน่ง อาจจะอยู่ในรูปของตัวเงิน ในบางตำแหน่งจะมีการระบุตัวเลขที่ชัดเจน หรืออาจจะเป็นในรูปผลประโยชน์อื่นๆ ดังนี้


- ข้าราชการที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง/แต่งตั้ง/โยกย้าย อาจจะใช้อำนาจหน้าที่ในตำแหน่งของตนเอื้ออำนวยความสะดวกหรือผลประโยชน์แก่ ผู้มีอำนาจในภายหลัง อาจจะช่วยเหลือเกี่ยวกับการเลือกตั้งถ้าผู้มีอำนาจเป็นนักการเมือง


- การให้ของขวัญ ของกำนับที่มีมูลค่าสูง ในวาระต่างๆ เช่น วันขึ้นปีใหม่ วันเกิด เป็นต้น


- การใช้ความสนิทสนม คุ้นเคย เข้าไปรับใช้เป็นการส่วนตัว


ในส่วนของเงินที่จะใช้ในการซื้อขายตำแหน่ง ในบางกรณีเป็นเงินของผู้ที่ต้องการซื้อตำแหน่งเอง


แต่สำหรับกรณีที่ตำแหน่งนั้นๆ เป็นตำแหน่งในระดับสูง และถ้าหน่วยงานนั้นๆ เป็นหน่วยงานที่มีโครงการในการจัดซื้อ จัดจ้าง จำนวนมาก และในวงเงินสูง ข้า ราชการที่พยายามจะเข้าสู่ตำแหน่งนั้นๆ จะติดต่อกับพ่อค้า นักธุรกิจที่ประสงค์จะได้ทำงานในโครงการดังกล่าว เพื่อขอให้รวบรวมเงินเพื่อที่จะจ่ายให้แก่ผู้มีอำนาจเป็นการซื้อตำแหน่ง โดยมีข้อตกลงว่า ถ้าได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งดังกล่าวก็จะเอื้ออำนวยให้แก่พ่อค้า นักธุรกิจนั้นๆ ได้รับงานของหน่วยงาน


สำหรับผลกระทบของการคอร์รัปชั่นในการซื้อขายตำแหน่งในระบบราชการนั้นอาจสรุปได้เป็น 2 ระดับ คือ 


1) ผลกระทบต่อข้าราชการในหน่วยงาน ทำให้ข้าราชการหมดขวัญและกำลังใจในการทำงาน โดยเฉพาะข้าราชการที่มีความตั้งใจในการทำงาน หมดศรัทธาและขาดการยอมรับในตัวผู้บังคับบัญชา ทำให้ข้าราชการชั้นผู้น้อยเกิดพฤติกรรมเลียนแบบในการซื้อขายตำแหน่ง และทำให้ข้าราชการที่มีความรู้ความสามารถขาดโอกาศที่จะเจริญก้าวหน้า


และ 2) ผลกระทบต่อระบบราชการโดยรวมเนื่องจากเมื่อมีการคอร์รัปชั่นในการซื้อขายตำแหน่ง แต่งตั้ง โยกย้าย เลื่อนตำแหน่ง ทำให้ไม่ได้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้าสู่ตำแหน่ง ซึ่งส่งผลเสียหายต่อระบบราชการ


ในรายการการวิจัยดังกล่าว ยังได้สำรวจวิธีการคอร์รัปชั่นในการซื้อขายตำแหน่งในระบบราชการแบ่งแยกเป็นกระทรวง ดังต่อไปนี้


กระทรวงมหาดไทย

 

1. การซื้อขายตำแหน่งมักกระทำผ่านคนใกล้ชิด คนสนิท หรือคนที่ไว้วางใจสังเกตเห็นได้จากการที่อธิบดี มักจะแต่งตั้งบุคคลที่ตนเองไว้วางใจมาเป็นผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่ ผู้อำนวยการกองคลัง และเลขานุการกรม ทำให้การดำเนินนโยบายต่างๆ เป็นไปได้โดยง่าย


2. ข้าราชการระดับสูงมักจะมีการซื้อขายตำแหน่งโดยใช้อิทธิพลของนักการเมือง และนักการเมืองเหล่านี้มักต้องการผลประโยชน์ตอบแทนเป็นเงินทุน หรือพรรคพวกเพื่อผลประโยชน์ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป


3. การให้ของขวัญเนื่องในโอกาสต่างๆ เช่น วันเกิด วันปีใหม่ วันแต่งงานบุตร แต่อาจมีการแนบสิ่งของมีค่า เช่น เงินสด หรือทองคำ


4. วิธีการซื้อขายตำแหน่งมีหลายวิธีตั้งแต่ซื้อขาด ซื้อแบบผ่อนส่งโดยมีเงินดาวน์ (ส่งส่วยกันตลอดชีวิต) ซึ่งคิดว่าไม่มีทางที่จะแก้ไขได้ เพราะผู้มีอำนาจของเมืองไทยประเภทที่ยอมแก้ระบบให้ดีแล้วตัวเองและพวกพ้อง สูญเสียประโยชน์และโอกาสคงหาได้ยาก

 

5.อาศัยความสนิทสนมคุ้นเคยเป็นส่วนตัวกับผู้มีอำนาจ อาศัยความสนิทสนมหรือเป็นญาติกับคนสนิท หรือผู้ติดตามผู้มีอำนาจ อาศัยภรรยาของตนเองเพื่อติดต่อกับภรรยาของผู้มีอำนาจ


6. การยอมรับใช้ในฤดูกาลหาเสียงเลือกตั้ง เช่น การหาคะแนนเสียงให้กับผู้ลงสมัครรับเลือกตั้ง


7. อาศัยฝีมือในการปฏิบัติหน้าที่จนได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาการ ปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งที่ได้รับมอบหมายในงานที่ได้รับมอบโดยไม่ขัดแย้งผู้ บังคับบัญชา หรือขัดแย้งบ้างในบางกรณีที่ขัดกับกฎหมาย ระเบียบปฏิบัติ ความดีความชอบขึ้นอยู่กับความสามารถในการปฏิบัติงานถูกใจผู้บังคับบัญชา หรือความดีความชอบจะได้แก่บุคคลที่ใกล้ชิดและสละเวลาส่วนตัวมาก เช่น ตำแหน่งเลขานุการ หรือผู้ใช้เวลาว่างไปเยี่ยมผู้บังคับบัญชา


8. การซื้อขายตำแหน่งเป็นการสมยอมกันระหว่าง 2 ฝ่าย ส่วนมากจะเป็นนักการเมืองเข้ามาดำเนินการ


กระทรวงศึกษาธิการ


1. ปัจจุบันมีการซื้อขายตำแหน่งต่างๆ กันอย่างแพร่หลายในระบบราชการไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตำแหน่งสูงระดับผู้บริหาร จะเกาะติดเหนียวแน่นกับนักการเมือง (ส่วนมากเข้ามาเพื่อกอบโกยผลประโยชน์จากประเทศชาติ) ซึ่งแก้ไขได้ยากมาก


2. การใช้ระบบใบฝาก/ใบสั่งจากผู้มีอิทธิพล นักการเมือง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร


3. การใช้นายหน้าในการติดต่อซื้อขายตำแหน่งแทนที่จะมีการติดต่อกันโดยตรง


4. การซื้อขายตำแหน่งอาจจะกระทำในรูปของการทำผลประโยชน์ให้ การให้ของขวัญ


5. การดูแลรับรองผู้ใหญ่ระดับสูง  ซึ่งต้องใช้เงินจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นลักษณะของการไปตรวจงาน ตรวจเยี่ยม หรือไปเที่ยวเตร่หาความสุขของผู้ใหญ่ เช่น ไปตีกอล์ฟ คนที่หาเงิน (ซึ่งก็คือรีดไถจากพ่อค้า ประชาชน) ได้เก่ง ก็มีสิทธิใกล้ชิดเจ้านาย กลายเป็นมือขวาเจ้านายไม่ต้องทำงานก็ได้ดี ถึงเวลาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นกรณีพิเศษ เงินเดือนสูง ก้าวหน้าเร็ว ขณะเดียวกันคนที่ไม่สามารถรีดไถมารับรองผู้ใหญ่ก็ไม่ก้าวหน้า ระบบไปตรวจงานของผู้ใหญ่ไม่มีประโยชน์กับทางราชการ นอกจากประโยชน์กับตัวผู้ใหญ่เอง ได้กิน ได้เที่ยว ได้พักผ่อน ได้ของฝากแพงๆ ดีๆ


6. สามารถหาทุกสิ่งทุกอย่างให้ผู้บังคับบัญชาได้ตามที่ผู้บังคับบัญชาต้องการ แม้จะต้องเสียทรัพย์สินต่างๆ เป็นจำนวนมาก


7. คอยประจบเอาใจผู้บังคับบัญชาเป็นพิเศษ


8. เป็นผู้ที่ใกล้ชิดและคอยรับใช้ผู้ใหญ่ ทำให้มีโอกาสก้าวหน้ากว่าที่ทำงานแต่ในหน้าที่


9. สามารถทำทุกอย่างให้ผู้บังคับบัญชาได้โดยไม่มีข้ออ้าง


กระทรวงเกษตรและสหกรณ์


1. นักการเมืองใช้อำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการมากเกินไป นักการเมืองทุกระดับจะมีอิทธิพลเหนือข้าราชการประจำ ผู้ที่ต้องการตำแหน่งจะเข้าหานักการเมืองเพื่อใช้อำนาจบีบผู้บังคับบัญชา


2. การซื้อขายตำแหน่ง จ่ายเป็นเงิน จ่ายเป็นทรัพย์สิน สร้าง/ซื้อบ้าน ซื้อรถยนต์ ซื้อของมีค่า เพชรแหวนเงินทอง เป็นของกำนัล


3. บุคคลที่มีพรรคพวกมักจะวิ่งเต้น เพื่อให้ได้ตำแหน่งและความก้าวหน้าในชีวิตราชการ เนื่องจากมีข้อเปรียบเทียบว่าบุคคลที่ไม่ได้วิ่งเต้น โอกาสก้าวหน้ามีน้อย จะอาศัยความรู้ ความสามารถโดยเฉพาะอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องมีผู้บังคับบัญชาคอยสนับสนุนให้ความช่วยเหลือ ซึ่งอาจจะมีการตอบแทนเป็นเงินบ้างหรือคอยรับใช้ใกล้ชิด หรือหมั่นให้ของกำนัลแก่ผู้บังคับบัญชา


4. การวิ่งเต้นต้องผ่านหลายด่าน ยิ่งตำแหน่งที่มีช่องทางหาผลประโยชน์จะวิ่งกันหนักและจ่ายหนักด้วยเช่นกัน เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบงานการเจ้าหน้าที่ และเลขานุการส่วนตัวของผู้ใหญ่จะทำหน้าที่เป็นกันชนให้ มีเทคนิควิธีการรับผลประโยชน์ที่แยบยลยากแก่การจับผิดได้


5. การแต่งตั้ง โยกย้ายบางตำแหน่งนอกเหนือจากการใช้วิธีเล่นพรรคเล่นพวก ระบบญาติพี่น้อง ต้องการตอบสนองต่อผู้มีอำนาจแล้วยังมีการใช้เงิน รับผลประโยชน์ต่างๆ จากผู้ที่มีอำนาจ เช่น มีการโอนเงินให้ผู้ที่มีอำนาจเป็นงวดๆ หรือผู้ที่มีอำนาจให้ผู้ที่ใกล้ชิดไปดูแลผลประโยชน์ของตน


6. ผู้บริหารระดับสูงในส่วนกลางมักจะดูแลสนับสนุนบุคคลที่คอยเลี้ยงดูต้อนรับ บริการเวลาไปตรวจราชการต่างจังหวัด เป็นกระบวนการได้มาของตำแหน่ง


7. ทุจริตในการสอบคัดเลือก เช่น ทราบข้อสอบก่อน มีการกำหนดรายชื่อผู้ที่สอบได้ไว้ก่อน


กระทรวงคมนาคม


1. การซื้อขายตำแหน่งทางตรง (เป็นตัวเงิน) โดยจ่ายเป็นค่านายหน้าหรือค่าดำเนินการวิ่งเต้น เจรจา ต่อรอง ส่วนใหญ่เป็นตำแหน่งใหญ่ๆ และเกี่ยวข้องกับการเมือง


2. การซื้อขายตำแหน่งทางอ้อม (เป็นผลประโยชน์ต่างตอบแทน) มีมากในระดับหัวหน้าส่วนราชการระดับกลางถึงสูง เกิดขึ้นระหว่างผู้วิ่งเต้นต้องการตำแหน่งกับเจ้านายระดับสูงกลุ่มพ่อค้าผล ประโยชน์


3. การเข้าหาผู้บริหารระดับสูง หรือนักการเมืองเพื่อขอการสนับสนุน และอาจมีการมอบของกำนับเป็นสิ่งตอบแทน หรือการสัญญาว่าจะกระทำการใดๆ อันเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ให้การสนับสนุน


4. การซื้อขายตำแหน่งมักจะมีผู้แทนของผู้ที่มีอำนาจรับหน้าที่เป็นผู้ติดต่อและ ประสานงานเพื่อเรียกรับเงินจากผู้ซื้อตำแหน่ง และกลุ่มนักการเมืองหรือธุรกิจการเมือง ซึ่งอาจจะไม่เป็นตัวเงินแต่เป็นประโยชน์ตอบแทนอื่นๆ เช่น เมื่อ วิ่งเต้นได้ตำแหน่งก็จะดูแลเจ้านายเป็นอย่างดีในลักษณะอุปถัมภ์ค้ำจุน คอยให้ความสะดวกทุกเรื่องหรือช่วยวิ่งเต้นในเรื่องการของบประมาณ


กระทรวงสาธารณสุข


1. การซื้อขายตำแหน่งจะมีคนกลางหรือหน้าม้าเป็นผู้ติดต่อ โดยแต่ละตำแหน่งจะกำหนดราคาไว้มักจะได้ยินจะเป็นในวงการข้าราชการตำรวจ และในวงการอื่นๆ บางครั้งตำแหน่งนั้นถูกหลายคนหมายปองก็จะมีการแข่งราคากัน (โดยผ่านคนกลาง) ผู้ใดให้ราคาสูงกว่าก็จะได้ตำแหน่งนั้น


2. นักการเมืองมีส่วนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเพื่อเอื้อประโยชน์กัน


กระทรวงการคลัง


1. มีการแต่งตั้งไว้ก่อนที่จะมีการสอบ ซึ่งอาจจะเป็นไปตามคำขอ การฝากของผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่า เช่น รัฐมนตรี นักการเมือง หรือผู้ที่มีอิทธิพล


2. คณะกรรมการที่ออกข้อสอบบางท่านได้มีการเปิดเผยข้อสอบให้แก่บุคคลที่จะสอบทราบก่อน


3. แก้คำตอบของข้อสอบจากผิดให้เป็นถูกในขั้นตอนการป้อนคำตอบใส่คอมพิวเตอร์


4. การวิ่งเต้นผ่านนักการเมือง


5. สร้างความสนิทสนมคุ้นเคยกับผู้มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้าย หรือบุคคลที่ใกล้ชิดกับผู้มีอำนาจ โดย การเสนอเงินให้โดยถูกต้องตามกฎหมาย (เช่น ในรูปเงินสินบนรางวัล) หรือหากให้ได้รับตำแหน่งสูงขึ้นจะตอบแทนโดยการดูแลค่าใช้จ่ายส่วนตัวของผู้ มีอำนาจและครอบครัวใน ทุกๆ เรื่อง หรือการขอให้โยกย้ายไปอยู่ในที่ที่ดีมีเงินทองที่สนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อมได้


6. ผู้ใกล้ชิดหรือผู้ใต้บังคับบัญชาที่ไว้เนื้อเชื่อใจเป็นผู้ดำเนินการจัดหาติดต่อรวบรวมโดย มีกลุ่มพ่อค้า นักธุรกิจ เป็นผู้สนับสนุนออกทุนให้ ผลประโยชน์ที่ผู้สนับสนุนได้รับ เช่น สัมปทานนำสินค้าเข้าโดยเสียภาษีเพียงบางส่วน ส่วนที่เหลือจะแบ่งกันไปตามสัดส่วน


7. บางครั้งเงินก็ไม่ใช่ปัจจัยที่ใช้ในการแต่งตั้งโยกย้ายยังมีวิธีการอื่นๆ เช่น ให้ของฝากที่มีราคาแพง พาไปตีกอล์ฟเมืองนอก เป็นต้น


สำนักงานตำรวจแห่งชาติ


1. การซื้อขายตำแหน่งผู้ที่มีบทบาทมากที่สุด คือ นักการ เมืองระดับชาติ เมื่อเข้าไปในรัฐบาลก็จะปูพื้นฐานทางการเมืองโดยวิธีแต่งตั้งคนของตนเองรอง รับฐานเสียงไว้ผลประโยชน์ที่นักการเมืองรับจากข้าราชการประจำไม่ได้รับคราว เดียวในวันที่รับตำแหน่งแต่จะรับในรูปแบบให้บริการอื่นๆ


2. ปัจจุบันข้าราชการตำแหน่งจะวิ่งเข้าหานักการเมืองเพื่อหวังประโยชน์ในการ แต่งตั้งและมักจะได้ผลเพราะผู้บังคับบัญชาระดับสูงบางนายก็มาจากนักการเมือง สนับสนุนหรือเกรงอำนาจนักการเมืองซึ่งอาจจะถูกโยกย้าย หากไม่ปฏิบัติตามความประสงค์ของนักการเมือง


3. นักการเมืองใช้อำนาจที่ตนมีอยู่สนั่งการผู้บังคับบัญชาให้แต่งตั้งบุคคลที่ ตนต้องการสนับสนุน หากไม่ปฏิบัติตามก็จะถูกกลั่นแกล้งกล่าวหาในรูปแบบต่างๆ จึงเป็นธรรมเนียมที่ให้ข้าราชการต้องปฏิบัติอย่างนั้น เพื่อความอยู่รอดของตนเอง


4. ผู้ที่มีอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้าย เลื่อนตำแหน่ง ใช้อำนาจหน้าที่อย่างไม่โปร่งใส ไม่เป็นธรรม มักใช้ช่องโหว่ของกฎหมายเพื่อสร้างกฎให้ปฏิบัติเพื่อให้สอดคล้องกับอำนาจและ ป้องกันการตรวจสอบ


5. การติดต่อซื้อขายตำแหน่งเริ่มจากติดต่อกับผู้รู้จักกับเจ้านายก่อน เพื่อให้ประสานงานให้ หากตกลงหรือรับเงื่อนไขได้ ก็จะดำเนินการต่อไปจนได้รับแต่งตั้ง/โยกย้าย


6. การซื้อขายตำแหน่งปัจจุบันมักจะเป็นกลุ่มพ่อค้าที่เข้าไปคลุกคลีเพื่อหวังผลประโยชน์ทางธุรกิจของตนให้พ้นจากการจับกุม โดยช่วยเหลือเรื่องเงินมาตลอด เมื่อตำรวจให้ความช่วยเหลือกลุ่มพ่อค้าเหล่านี้ก็จะให้ความช่วยเหลือโดยวิ่งเต้นผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้


7. เมื่อประมาณ 10 ปี ที่ผ่านมาจะมอบสินบนหรือน้ำใจให้ไปทั้งหมด เมื่อได้รับการแต่งตั้งซึ่งเป็นการตอบแทนเด็ดขาดไม่มีข้อผูกพันต่อกัน หลังจากนั้นจึงมีการเปลี่ยนไปเป็นให้เงินก้อนแต่จำนวนไม่มาก เมื่อได้ตำแหน่งแล้วจึงผ่อนเป็นรายเดือน จำนวนเงินจะมากหรือน้อยแล้วแต่ตำแหน่ง คล้ายกับซื้อรถยนต์ที่ดาวน์แล้วมาผ่อนต่อ วิธีนี้ทั้งผู้ให้และผู้รับจะชอบเพราะผู้ให้ก็ได้รับความคุ้มครองให้ดำรง ตำแหน่งอยู่เพื่อจะได้มีเงินมาผ่อนต่อไป ผู้รับก็ได้ประโยชน์ตรงไม่ได้มีความรู้สึกว่าได้รับเงินค่าวิ่งเต้นโยกย้าย


8. ในช่วงที่จะมีการแต่งตั้ง โยกย้าย หรือเลื่อนตำแหน่ง ผู้ที่มีสิทธิทั้งหลายมักใช้วิธีไปคลุกคลีทำความสนิทสนมคุ้นเคย รับใช้ผู้ที่คิดว่าสามารถให้ความช่วยเหลือหรอืแต่งตั้งให้ตนเองหรอืพรรคพวก ได้ โดยเฉพาะนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูง และเมื่อมีคำสั่งบุคคลเหล่านี้ ก็มักจะมีรายชื่อได้รับการแต่งตั้ง


9. เป็นการสมยอมทั้งฝ่ายมีอำนาจแต่งตั้ง และฝ่ายอยากได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งที่สูงขึ้น
****

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1252935309&grpid=&catid=02

--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
kb
http://camp02.blogspot.com/ camp02
http://kb1951.blogspot.com/ park
http://kbparks.blogspot.com/ kbpark
http://word1951.blogspot.com/ wordpress
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/