ใครๆก็แก้กฎหมายได้(คุณก็ด้วย)
Bookmark and Share

วันพุธที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552

ป.ป.ช.กทม.เล็งถกนัดแรก สอบ 2 เรื่อง"เรียกรับสินบน"

วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11512 มติชนรายวัน


ป.ป.ช.กทม.เล็งถกนัดแรก สอบ 2 เรื่อง"เรียกรับสินบน"




นาย ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ในวันที่ 21 กันยายนนี้ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ในฐานะประธานคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนการทุจริตและประพฤติมิชอบในการบริหาร ราชการกรุงเทพมหานคร (ป.ป.ช.กทม.) จะเรียกประชุม ป.ป.ช.กทม.นัดแรก เพื่อพิจารณาข้อร้องเรียน 2 เรื่อง ได้แก่
1.ผู้บริหารของโรงเรียนสังกัด กทม.เรียกรับเงินจากผู้ปกครองเพื่อให้นักเรียนในสังกัด กทม.สามารถผ่านการประเมินผลการเรียน
2.ผู้บริหารสำนักงานเขตบางแห่งในกลุ่มเขตกรุงเทพกลาง กรรโชกทรัพย์นักธุรกิจในพื้นที่เป็นเงินหลักล้านบาท โดยอ้างว่าเป็นการเสียภาษี
ส่วนข้อร้องเรียนเกี่ยวกับสำนักงานตลาดนั้น ขณะนี้ยังมีเพียงการร้องเรียนในลักษณะของบัตรสนเท่ห์ แต่ไม่ปรากฏตัวผู้ที่ร้องเรียน ดังนั้นจึงต้องรอบุคคลที่จะยืนยันข้อมูลดังกล่าวก่อนจะนำเข้าสู่การตรวจสอบ ต่อไป

นายธีระชนกล่าวว่า วันเดียวกัน กลุ่มพนักงานสำนักงานตลาดสด กทม. ประมาณ 100 คน เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อคณะผู้บริหาร กทม.กรณีที่ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือค่าครองชีพ 2,000 บาท ทั้งๆ ที่คณะผู้บริหารได้ลงนามอนุมัติแล้วตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยแกนนำรายหนึ่ง กล่าวว่า คณะผู้บริหารสำนักงานตลาดสดอาจนำเงินส่วนดังกล่าวไปใช้จ่ายในส่วนอื่นหรือไม่ จึงขอให้มีการตรวจสอบ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้นายปรีชา สุขสนเทศ ผู้อำนวยการสำนักการคลัง ตรวจสอบเรื่องดังกล่าว พร้อมเร่งรัดการเบิกจ่ายให้กับพนักงานผู้มีสิทธิภายในเวลา 10 วัน โดยระหว่างนี้ห้ามให้มีการโยกย้ายการทำงานของพนักงานอย่างเด็ดขาด


หน้า 10

วันอาทิตย์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2552

ก.ล.ต.เชือดอดีต รมต.ยุคทักษิณ ติดร่างแหแก๊งโกงหุ้น SECC

ก.ล.ต.เชือดอดีต รมต.ยุคทักษิณ ติดร่างแหแก๊งโกงหุ้น SECC
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 กันยายน 2552 09:03 น.
 
ก.ล.ต.แจ้งดีเอสไอกล่าวโทษอดีตผู้บริหาร SECC เพิ่มเติมอีก 6 ประเด็น พร้อมพ่วงผู้ร่วมทุจริตอีก 6 คนร่วมเป็น 7 คน "สุริยา ลาภวิสุทธิสิน" บิ๊กปิกนิก อดีต รมช.ชื่อดังยุคทักษิณ โดนเชือดด้วย
       

       สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ได้แจ้งความร้องทุกข์ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ ให้ดำเนินคดีตามกฎหมายเพิ่มเติมกับนายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ อดีตประธานกรรมการ บริษัท เอส.อี.ซี.ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน)หรือSECC กับพวกเพิ่มเติมอีก 6 ประเด็น รวมทั้งมีผู้ร่วมก่อความผิดเพิ่มด้วย
       
       ก.ล.ต.ระบุว่า นายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ กับพวกรวม 5 คน ถูกก.ล.ต.กล่าวโทษก่อนหน้านี้ ตั้งแต่วันที่ 26 ธันวาคม 2551 กรณีร่วมกันทุจริตยักยอกเงินของบริษัท ด้วยการจัดทำเอกสารอันเป็นเท็จ ในการสั่งซื้อรถยนต์ที่ไม่มีจริง เพื่อให้บริษัทต้องจ่ายเงินจากบัญชี SECC ให้แก่ตนเองหรือบุคคลอื่น จนทำให้ SECC ได้รับความเสียหายเป้นเงินนับพันล้าน ซึ่งเป็นคดีอื้อฉาวเมื่อปลายปีก่อน
       
       ทั้งนี้ ก.ล.ต.ได้ตรงจสอบเพิ่มเติม พบพยานหลักฐานที่น่าเชื่อว่า มีการทำผิดตามพรบ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 เพิ่มอีกหลายลักษณะ จึงได้กล่าวโทษอดีตกรรมการและผู้บริหารของ SECC และอดีตผู้บริหารบริษัท เอสอีซีซี โฮลดิ้ง จำกัด (SECC Holding) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยกับพวกรวม 7 ราย ได้แก่ นายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์,นายสมชาย ศรีพยัคฆ์,นายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน,หม่อมหลวงอภิษฎา ชยางกูร,นางสาวนิภาพร คมกล้า,นายกรวิวัฒน์ วัฒนะธรรมวงศ์ และนางสาวมุทิตา นิลสวัสดิ์ ซึ่งนายสุริยา ลาภวิสุทธิสินนั้น เคยเป็นอดีตรมช.พาณิชย์สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเคยก่อคดีอื้อฉาวเกี่ยวกับการปั่นหุ้นบริษัทปิกนิค ที่ตนเป็นผู้บริหาร
       
       สำหรับ 6 ประเด็นที่กล่าวโทษเพื่อ ได้แก่
1.ทุจริตยักยอกเงินผ่านการให้กู้ยืมของ SECC Holding จำนวน 245 ล้านบาท โดยตรวจสอบพบพยานหลักฐานว่า นายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ กับนายสมชาย ศรีพยัคฆ์ ที่เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของ SECC Holding และนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน ได้ร่วมกันยักยอกเงินของ SECC ผ่านการให้กู้ยืมของ SECC Holding แก่บุคคล 4 ราย รวม 245 ล้านบาท โดยเป็นเงินที่ SECC นำไปลงทุนใน SECC Holding และน่าเชื่อว่า ผู้ที่กู้ยืมเงินดังกล่าว ถูกทั้ง3ใช้ชื่อเพื่อปกปิดการยักยอกเงินของตน จึงเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 307, 308,311, 313,315 มาตรา 89/7 และมาตรา 89/24 แห่ง พรบ.หลักทรัพย์ฯ
       
       นอกจากนี้ ยังพบพยานหลักฐานว่า หม่อมหลวงอภิษฎา (เดิมชื่อหม่อมหลวงภัทรวดี) ชยางกูร ซึ่งมีชื่อเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการบริษัทที่อนุมัติการให้กู้ยืม เป็นผู้ลงนามในเช็คจ่ายเงินให้บุคคลทั้ง 4 รายดังกล่าว ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ในการเป็นกรรมการและผู้บริหารของ SECC Holding ด้วยความรับผิดชอบและระมัดระวัง จึงเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 89/7 ประกอบมาตรา 89/24 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ
 2.ยักยอกเงินฝากของ SECC Holding จำนวน 30 ล้านบาท โดยฝืมือนายสมชาย ศรีพยัคฆ์
 3.ทุจริตยักยอกเงิน 42 ล้านบาทจากบัญชีจองซื้อหุ้นเพิ่มทุน ซึ่งนายสมพงษ์กระทำการโดย น.ส.นิภาพร คมกล้า และนายสมชาย ศรีพยัคฆ์ ร่วมมือ
 4ทุจริตโดยยักยอกชุดจดทะเบียนรถยนต์ของบริษัทไปใช้แสวงหาประโยชน์ส่วนตัว ซึ่งนายสมพงษ์ได้ยักยอกชุดจดทะเบียนรถยนต์ 25 คัน นำไปใช้ค้ำประกันหนี้ส่วนตัว ทำให้ SECC เสียหาย เนื่องจากถูกลูกค้าที่ซื้อรถไป แล้วไม่มีชุดจดทะเบียนฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย
       
   5.ตกแต่งรายได้ค่าขายรถยนต์ 30 ล้านบาทในปี 2550 ซึ่ง ก.ล.ต.พบว่านายสมพงษ์และนางสาวนิภาพร คมกล้าร่วมกันลงข้อความเท็จในบัญชี เพื่อลวงผู้ถือหุ้นและบุคคลอื่น และ
   6.อดีตกรรมการผู้มีอำนาจลงนามในเช็คหรือใบถอนเงินของบริษัทไม่ปฏิบัติ หน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ โดยตรวจสอบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตใน SECC พบการยักยอกเงินที่เกิดขึ้นได้ ส่วนหนึ่งมาจากการที่นายกรวิวัฒน์ วัฒนะธรรมวงศ์ (เดิมชื่อนายไพบูลย์ สุขสุธรรมวงศ์) อดีตกรรมการและกรรมการผู้จัดการ และนางสาวมุทิตา นิลสวัสดิ์ อดีตกรรมการ (ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายการตลาด และประชาสัมพันธ์) ได้ลงนามล่วงหน้าในเช็คหรือลงนามโดยละเลยที่จะตรวจสอบความถูกต้องของรายการ จนทำให้มีการถอนเงินออกจาก SECC ไปเพื่อประโยชน์ของนายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์ หรือบุคคลอื่น และทำให้ SECC เสียหาย
http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9520000104954


--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
kb
http://camp02.blogspot.com/ camp02
http://kb1951.blogspot.com/ park
http://kbparks.blogspot.com/ kbpark
http://word1951.blogspot.com/ wordpress
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

ด่วนคะ โปรดส่งต่อและเข้าให้ข้อคิดเห็นในเวบไซด์คะ ประวัติ อ.จงจิตร์



 
From: lee lee <thai9lee@gmail.com>
Date: ก.ย. 8, 2009 5:10 หลังเที่ยง
Subject: : ด่วนคะ โปรดส่งต่อและเข้าให้ข้อคิดเห้นในเวบไซด์คะ ประวัติ อ.จงจิตร์
To: 


 
From: Kamolpan Cheewapantusri <kamolpar@yahoo.com>
Date: 2009/9/8
Subject: ด่วนคะ โปรดส่งต่อและเข้าให้ข้อคิดเห้นในเวบไซด์คะ  ประวัติ อ.จงจิตร์
To:

เรียนท่านที่รักชาติทุกท่าน

อาจารย์  จงจิตร์  สมัคร เลขา ปปช คะ

ช่วยกันสนับนุนคนดีให้ปกครองบ้านเมือง ในสถานะการณปัจจุบันต้องได้คนตรง
มั่นคง ไม่อยู่ภายใต้อาณัติใคร

โปรดช่วยกันส่งต่อคะ
ด่วนคะ

พท. พญ กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี


 


 
From:
To: kamolpar@yahoo.com
Sent: Tuesday, September 8, 2009 14:47:44
Subject: ประวัติ อ.จงจิตร์

ร่วมแสดงความคิดเห็นผ่านเว็ปไซต์ http://www.nacc.go.th/pollnacc/main_poll.php

ศ.ดร.จงจิตร์ หิรัญลาภ


     Get your preferred Email name!
Now you can @ymail.com and @rocketmail.com.
http://mail.promotions.yahoo.com/newdomains/aa/




--
      Weblink
seminar
http://ilaw.or.th
www.patani-conference.net
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://www.bedo.or.th/default.aspx
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://seminarmon.blogspot.com
http://seminartue.blogspot.com
http://seminarwed.blogspot.com
http://seminarthu.blogspot.com
http://seminarfri.blogspot.com
http://seminar1951.blogspot.com
http://seminardd.com

วันจันทร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ซื้อรถยุคขิงแก่ขายพอเพียง กลเวียนเทียน ต้นทุน 5 หมื่นฟันกำไร 2 แสน นายกฯจี้หาต้นตอทุจริตให้ได้


วันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 31 ฉบับที่ 11496 มติชนรายวัน


ซื้อรถยุคขิงแก่ขายพอเพียง กลเวียนเทียน


ต้นทุน 5 หมื่นฟันกำไร 2 แสน นายกฯจี้หาต้นตอทุจริตให้ได้




สารพัดเล่ห์ - นายสัญญา หาญพยัคฆ์ ผู้ใหญ่บ้านกรุงภูพา ต.โคกกุง อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ พามาดูรถนวดสีข้าวซึ่งมีบริษัทมาขอซื้อ 50,000 บาท เพื่อนำไปขายต่อในโครงการชุมชนพอเพียงราคา 250,000 บาท ขณะที่ชุมชนบางแห่งโอนเงินไปให้บริษัทนานแล้วแต่ได้รับเฉพาะโครงเครื่องผลิต ปุ๋ยอัดเม็ดเท่านั้น จนบัดนี้ยังไม่ได้รับเครื่องจักรและอุปกรณ์หลักเลย

พบเล่ห์เอกชนกว้านซื้อรถเก่าในโครงการ"อยู่ดีมีสุข" ไปเวียนเทียนขาย"ชุมชนพอเพียง" แถมให้แค่ 5 หมื่น แต่ขาย 2.5 แสน บางชุมชนได้รับของไม่ครบ พท.แฉ 22 ชุมชน"กทม."โดนแก้โครงการ พบนักการเมือง-ขรก.รับเงินแทนชาวบ้าน 9 ล้าน

ความคืบหน้าเกี่ยว กับกรณีตัวแทนบริษัทเอกชนหลายรายเข้าไปทำมาหากินกับโครงการชุมชนพอเพียงโดย มีนักการเมืองท้องถิ่น และ เจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งในสำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน (สพช.) ให้ความ ร่วมมือ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าพลังงานแสงอาทิตย์ ปุ๋ยอินทรีย์สำเร็จรูป ล่าสุดพบพฤติการณ์ "ย้อมแมว" ขายรถนวดสีข้าวเก่าให้ชุมชนหลายแห่งใน จ.ชัยภูมิ ในราคาแพงคันละ 250,000 บาท นั้น ผู้สื่อข่าว "มติชน" ตรวจสอบที่มาที่ไปของ รถนวดสีข้าวย้อมแมวแล้วยังพบพฤติกรรม "เวียนเทียน" สินค้าอีกด้วย กล่าวคือบริษัทดังกล่าวไปกว้านซื้อรถมาจากชาวบ้านที่ร่วมโครงการ "อยู่ดีมีสุข" สมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เพื่อนำไปให้ในโครงการชุมชนพอเพียง

พฤติการณ์บริษัทเอกชนกว้านซื้อของเก่าไปเวียนเทียนขายต่อให้โครงการชุมชนพอเพียง ได้รับการเปิดเผยโดยนายสัญญา หาญพยัคฆ์ อายุ 46 ปี ผู้ใหญ่บ้านกรุงภูพา หมู่ 13 ต.โคกกุง อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ ว่า ในช่วงที่รัฐบาล (พล.อ.สุรยุทธ์) ดำเนินโครงการ "อยู่ดีมีสุข" ชุมชนกรุงภูพาได้รับอนุมัติโครงการจัดซื้อรถนวดสีข้าวขนาด 5 ฟุต 6 ล้อ เหมือนกับหมู่บ้านหนองมะเขือใหม่ ต.หนองขาม อ.แก้งคร้อ แต่รถนวดสีข้าวที่จัดซื้อมาใช้เป็นรถมือสองที่นำมาประกอบใหม่ราคาคันละ 50,000 บาทเท่านั้น โดยติดต่อขอซื้อจากบริษัทเอกชนรายหนึ่งใน จ.สระบุรี ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ก่อนหน้าโครงการชุมชนพอเพียงจะเริ่มต้นขึ้น ตนได้รับการติดต่อจากเอกชนผู้ขายเครื่องมือทางการเกษตรขอซื้อรถนวดสีข้าว จากการสอบถามตัวแทนเอกชนดังกล่าวได้รับแจ้งว่า จะนำรถดังกล่าวไปร่วมโครงการชุมชนพอเพียงของรัฐบาล เนื่องจากมีหลายชุมชนต้องการซื้อเครื่องมือทางการเกษตรประเภทนี้จำนวนมาก

"ผมไม่รู้ว่าเขาเอาข้อมูลจากไหนมาว่าผมมีรถนวดข้าวรุ่นนี้อยู่ แต่ตอนที่เอกชนเหล่านี้เข้ามาติดต่อ เขาบอกว่าจะขอซื้อไปคันละ 5 หมื่นบาท ผมเห็นว่าเป็นราคาที่น้อยเกินไป เพราะผมซื้อรถคันนี้มาคันละ 5 หมื่นบาท ขายไปก็ไม่ได้กำไร แถมเหตุผลของเขาชัดเจนว่าจะเอาไปขายต่อในโครงการชุมชนพอเพียงในราคาสูงๆ ผมเลยไม่อยากยุ่งด้วย เพราะเดี๋ยวมีปัญหาขึ้นมาชุมชนของผมจะเดือดร้อน" นายสัญญากล่าว

นายสัญญากล่าวต่อไปว่า หากเป็นรถ 6 ล้อใหม่ขนาด 5 ฟุต ที่ขายทั่วไปในท้องตลาด ราคาสูงถึง 300,000 -400,000 แสนบาท แต่ถ้าเป็นรถเก่าแล้วนำมาประกอบใหม่ จะตั้งราคาสูงที่สุดไม่น่าจะเกิน 1 แสนกว่าบาทเท่านั้น ขณะที่รถนวดสีข้าวราคาประมาณ 250,000 บาท ปัจจุบันนี้เป็นรถขนาด 8 ฟุต เพราะใช้งานได้ดีและสะดวกกว่า เนื่องจากมีระบบรางมาช่วยเสริม ไม่ต้องใช้วิธีโยนข้าวให้ลำบากเหมือนรถขนาด 5 ฟุต อายุงานก็นานกว่าด้วย

สำหรับการดำเนินงานโครงการชุมชนพอเพียง ของชุมชนบ้านกรุงภูพานั้น ผู้ใหญ่บ้านกรุงภูพากล่าวว่า ได้เสนอโครงการโรงสีข้าวชุมชนไป ภายใต้งบประมาณ 250,000 บาท ปัจจุบันได้รับงบฯแล้ว และกำลังทำสัญญาว่าจ้างบริษัทก่อสร้างตัวอาคาร วางระบบไฟฟ้า พร้อมติดตั้งเครื่องสีข้าว ที่นี่ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด เพราะชุมชนใช้วิธีการเปิดให้บริษัทหลายรายมาเสนอเงื่อนไข และเลือกบริษัทที่ให้ข้อเสนอที่ดีที่สุด ก่อนทำสัญญาซื้อขาย จะไปดูสินค้าทั้งหมดด้วยตนเอง หากไม่มีคุณภาพ และราคาแพงเกินจริง จะยกเลิกข้อตกลงทันที

ส่วนการดำเนินงานโครงการชุมชนพอเพียงของ รัฐบาลที่ถูกตั้งข้อสังเกตปัญหาเรื่องการทุจริตอยู่ในขณะนี้ นายสัญญากล่าวว่า หากรัฐบาลไม่สามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ ก็ไม่สามารถทำให้โครงการนี้ประสบความสำเร็จได้ เพราะนับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เวลารัฐบาลอนุมัติโครงการอะไรมาสักอย่าง จะเห็นบริษัทเอกชนหลายแห่งวิ่งเต้นขายสินค้าในหมู่บ้านกันจนชินตา กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว ยิ่งงบฯที่รัฐบาลส่งมาแบบให้เปล่า เวลาจะใช้ชาวบ้านเลยไม่คิดอะไรมาก เพราะถือว่าไม่ใช่เงินของตนเอง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อมูลโครงการชุมชนพอเพียงใน ต.หนองขาม อ.แก้งคร้อ พบว่าชุมชนจำนวนมากสั่งซื้อเครื่องมือทางการเกษตรหลายชนิด อาทิ รถอีแต๋น เครื่องผลิตปุ๋ยอัดเม็ด เป็นต้น จากการ พูดคุยกับประธานชุมชนหลายแห่งได้รับการยืนยันเหมือนกันว่าบริษัทหลายรายมาติดต่อขายสินค้าให้ แต่ละรายต่างยืนยันว่าหากซื้อสินค้าของตนจะช่วยให้โครงการได้รับอนุมัติแน่นอน แต่เมื่อได้สินค้ามาปรากฏว่าไม่เพียงแพงเกินจริงเท่านั้น แต่ยังได้ของเก่า เช่น รถ อีแต๋นเก่าทาสีใหม่ ส่วนเครื่องผลิตปุ๋ยอัดเม็ดนั้น ชุมชนบางแห่งโอนเงินให้บริษัทไปหลายสัปดาห์แล้ว แต่จนถึงขณะนี้ได้รับอุปกรณ์เพียงแค่ 2 ชิ้น ซึ่งเป็นโครงเหล็กเปล่าๆ ยังเหลืออีก 2 ชิ้นที่ยังไม่ส่งมาให้ ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์อะไรได้

ทางด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความไม่โปร่งใสในโครงการชุมชนพอเพียงกรณีนำเครื่องนวดสีข้าวเก่ามาขายให้ชุมชนในจ.ชัยภูมิว่า ต้องส่งข้อมูลมา เพราะตอนนี้ได้สั่งระงับโครงการที่มีปัญหาไว้หมดแล้ว ต้องยอมรับว่าปัญหาลักษณะนี้มีมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่โครงการเงินผัน แต่ต้องดูไม่ให้เกิดปัญหาขึ้น หากใครเกี่ยวข้องก็ต้องโดนลงโทษ ในอดีตไม่เคยมีใครโดนลงโทษ เลยเป็นปัญหา แต่ขณะนี้มีองค์กรอิสระเข้าตรวจสอบโครงการดังกล่าว อีกทั้งการที่รัฐบาลเปลี่ยนชุดบริหารโครงการ น่าจะให้ความมั่นใจว่าเป็นการเปิดทางให้เข้าไปตรวจสอบในทุกเรื่องได้อยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการทุจริต หรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า คราวนี้หากรัฐบาลจริงจัง การลงโทษก็จะเป็นการปรามในอนาคตต่อไป

ที่พรรคเพื่อไทย นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงว่า จากการตรวจสอบของคณะทำงานติดตามการทุจริตโครงการชุมชนพอเพียงในพื้นที่ชุมชน อินทามระ 55 เขตห้วยขวาง มีกรณีส่อทุจริตเปลี่ยนแปลงสิ่งของที่ขออนุมัติจากเครื่องทำไบโอดีเซล งบประมาณ 3 แสนบาท เป็นโคมไฟ 3 ชุด มูลค่าเพียง 1.5 แสนบาท ขอถามว่าเงินอีกครึ่งหายไปไหน นอกจากนั้นใน 22 ชุมชนย่านดินแดง มีการเปลี่ยนแปลงจากห้องเย็นชุมชนเป็นเครื่องทำปุ๋ยและก๊าซชีวภาพ โดย สพช.อนุมัติไปแล้ว 18 ชุมชน เหลือ 4 ชุมชนที่กรรมการและผู้นำชุมชนไม่ยอม ชุมชนดินแดงตั้งอยู่ใจกลาง กทม. ไม่ทำการเกษตร เหตุใด สพช.จึงอนุมัติสิ่งของดังกล่าว

นายพร้อมพงศ์กล่าวต่อไปว่า พรรคยังตรวจพบการเปิดบัญชีและถอนเงินไม่เป็นไปตามระเบียบการใช้เงินเป็น มูลค่ากว่า 9.6 ล้านบาท มีผู้รับเงินที่ไม่ใช่กรรมการชุมชน แต่มีนักการเมืองทั้งระดับชาติ ระดับท้องถิ่น ข้าราชการ และธนาคารเข้าไปเกี่ยวข้อง ขอให้นายกรัฐมนตรีตรวจสอบและปลดนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ และนายสุมิท แช่มประสิทธิ์ ผอ.สพช.ออกจากตำแหน่งด้วย


หน้า 1

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ซีแอลยาพ่นพิษ นายกพรีม่า-สมาคมเภสัชฯดิ้นสู้ขอเปิดข้อมูลถูกร้องเรียนทำผิดจรรยาบรรณ-กวฉ.สั่งยกอุทธรณ์

 


 
วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 18:40:13 น.  มติชนออนไลน์

ซีแอลยาพ่นพิษ นายกพรีม่า-สมาคมเภสัชฯดิ้นสู้ขอเปิดข้อมูลถูกร้องเรียนทำผิดจรรยาบรรณ-กวฉ.สั่งยกอุทธรณ์

นายกสมาคมเภสัชกรรม-พรีม่า ดิ้นสู้ถูกกล่าวหาประพฤติผิดจรรยาบรรณวิชาชีพ อุทธรณ์ให้สภาเภสัชกรรมเปิดเผยข้อมูลรายชื่อผู้ร้องเรียน แต่คณะกรรมการวินิจฉัยข้อมูลข่าวสารยกอุทธรณ์ เพราะเรื่องอยู่ระหว่างสอบสวนข้อเท็จจริง

คณะกรรมการวินิจฉัยการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร(กวฉ.)สาขาสังคม การบริหารราชการแผ่นดินและการบังคับใช้กฎหมาย มีคำวินิจฉัย(ที่ สค 95/2552)ให้ยกอุธรณ์ของนาย
ธีระ ฉกาจนโรดม นายกเภสัชกรรมสมาคมและนายกสมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (พรีม่า)ซึ่งมีสมาชิกเป็นบริษัทยาข้ามชาติกว่า 30 บริษัทกรณีที่นายธีระยื่นอุทธรณ์ขอให้สภาเภสัชกรรมเปิด เผยข้อมูลข่าวสารที่นายธีระ ฉกาจนโรดม ถูกร้องเรียนเรื่องว่า ประพฤติผิดจรรยาบรรณวิชาชีพเภสัชกรรมที่ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเรื่องประกาศ บังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรโดยรัฐ (ซีแอล) กับยาจนอาจทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดในเรื่องดังกล่าว โดยกวฉ.สาขาสังคมให้เหตุผลว่า อยู่ระหว่างที่สภาเภสัชกรสอบสวนข้อเท็จจริง การเปิดเผยข้อมูลจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ

ผู้สื่อข่าว"มติชนออนไลน์"รายงานเมื่อวันที่ 30 สิงหาคมว่า กรณีดังกล่าว นายธีระซึ่งเป็นเภสัชกรด้วย ถูกกล่าวหาว่าประพฤติผิดจรรยาบรรณวิชาชีพเภสัชกรรม จึงมีหนังสือลงวันที่ 16 มีนาคม 2552 ถึงเลขาธิการสภาเภสัชกรรม เพื่อขอข้อมูลข่าวสารจำนวน 2 รายการ ได้แก่
1. รายชื่อคณะอนุกรรมการสอบสวน ชุดที่ 3 และ
2. หนังสือร้องเรียนลงวันที่ 13 มิถุนายน 2551 จำนวนครบทุกหน้า มีรายชื่อผู้ลงลายมือในเอกสารครบถ้วน เพื่อนำไปใช้ปกป้องสิทธิของตนเองต่อไป

 

อย่างไรก็ตามม สภาเภสัชกรรม มีหนังสือ แจ้งเปิดเผยข้อมูลข่าวสารรายการที่ 1 ทั้งหมด ส่วนข้อมูลข่าวสารรายการที่ 2 เปิดเผยเฉพาะประเด็นสาระของข้อกล่าวหาหรือข้อกล่าวโทษเท่านั้น โดยให้เหตุผลว่า  การเปิดเผยรายชื่อผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อม ประสิทธิภาพหรือไม่อาจสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้ ตามมาตรา 15 (2) แห่ง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540

 

กวฉ.สาขาสังคม พิจารณาแล้ว สรุปความได้ว่า สภาเภสัชกรรมได้รับการร้องเรียนเรื่องจรรยาบรรณเภสัชกรของผู้อุทธรณ์(นายธีระ ฉกาจนโรดม) จากกรณีที่ผู้อุทธรณ์ในฐานะนายกสมาคมผู้วิจัยและผลิตเภสัชภัณฑ์ (พรีม่า) ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์มติชน เมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2551 โดยกล่าวว่า "ยินดีกับความคิดของนายไชยาที่เห็นว่าในอนาคตการประกาศบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรโดยรัฐ (ซีแอล) กับยาอาจไม่จำเป็น เพราะได้ทำซีแอลกับยาที่จำเป็นแล้ว และถือว่านายไชยาเป็นผู้มีมารยาทในการทำงานอย่างมาก เพราะสิทธิบัตรยาเป็นเรื่องที่ต่างประเทศได้ทุ่มเงินลงทุนวิจัยอย่างมหาศาล แต่อยู่ดีๆ จะมายึดเอาทรัพย์สินทางปัญญาไป เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง"

 

กลุ่มผู้ร้องเรียนเห็นว่า จากคำกล่าวข้างต้นทำให้เกิดความเข้าใจผิดในสังคม และไม่เหมาะสมกับฐานะการเป็นผู้ประกอบวิชาชีพ ทั้งนี้ ผู้อุทธรณ์ยังเป็นนายกเภสัชกรรมสมาคมซึ่งเป็นกรรมการสภาเภสัชกรรมโดยตำแหน่ง แต่ได้กล่าวถึงเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาโดยเจตนาว่า การประกาศบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรโดยรัฐ (ซีแอล) เป็นการยึดเอาทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งเป็นการให้ความเห็นโดยไม่สุจริตแก่สาธารณชน เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวมิได้เป็นการยึดเอาทรัพย์สินทางปัญญา แต่อย่างใด

 

ในทางกลับกันการดำเนินการดังกล่าวถูกต้องตามข้อตกลงการค้าโลกว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญา และพ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ.2535 ของประเทศไทย

 

นอกจากนี้ บริษัทเอกชนก็สามารถขายผลิตภัณฑ์ของตนต่อไปได้โดยปกติ มิได้มีการยึดทรัพย์สินของบริษัทแต่อย่างใด อนึ่ง ผู้อุทธรณ์มิได้ให้ความเห็นครั้งนี้เป็นครั้งแรกแต่ได้ประพฤติและกระทำการเช่นนี้ต่อสาธารณชนมาหลายครั้งหลายหนแล้ว การกระทำดังกล่าวเป็นการผลิตข้อบังคับสภาเภสัขกรรมว่าด้วยจรรยาบรรณแห่ง วิชาชีพเภสัชกรรม พ.ศ.2538 เนื่องจาก ผู้ประกอบวิชาชีพเภสัชกรรมต้องไม่หลอกลวง หรือให้คำรับรองอันเป็นเท็จ หรือให้ความเห็นไม่สุจริตในเรื่องใดๆ ภายใต้อำนาจหน้าที่แก่สาธารณชน หรือผู้มารับบริการ ให้หลงเข้าใจผิดเพื่อประโยชน์ของตน ทำให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ จึงขอให้สภาเภสัชกรรมพิจารณาจรรยาบรรณของผู้อุทธรณ์ต่อไป

 

สภาเภสัชกรรมจึงมอบให้คณะอนุกรรมการสอบสวน ชุดที่ 3 ดำเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงในเรื่องร้องเรียนดังกล่าว โดยในขณะนี้การสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ และผู้อุทธรณ์ได้ใช้สิทธิในการขอข้อมูลข่าวสารในรายการข้างต้นเพื่อนำไปปก ป้องสิทธิของตน แต่ได้รับการเปิดเผยข้อมูลข่าวสารให้บางส่วน โดยในส่วนที่สภาเภสัชกรรมปฏิเสธการเปิดเผย คือ รายชื่อของผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ซึ่งผู้อุทธรณ์เห็นว่า การเปิดเผยรายชื่อผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษไม่ทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อ ประสิทธิภาพหรือไม่อาจสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้แต่อย่างใด เพราะในการร้องเรียนกล่าวหาผู้อื่นนั้น ผู้กล่าวหาต้องมีความรับผิดชอบโดยต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงให้รอบคอบก่อนจะ กล่าวหาผู้ใด มิใช่การกล่าวหาลอยๆเพื่อกลั่นแกล้งผู้อื่น อีกทั้งการเปิดเผยรายชื่อผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษตามกระบวนการยุติธรรมทั้งทางเอกชนและทางปกครอง ผู้ฟ้องหรือร้องเรียนผู้อื่นจะต้องเปิดเผยชื่อของตนเอง เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหารับทราบถึงคู่กรณี เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาหรือร้องเรียนใช้สิทธิปกป้องตนเองได้ และผู้อุทธรณ์ไม่มีพฤติการณ์ใดที่อาจจะก่อนให้เกิดอันตรายต่อชีวิตหรือความ ปลอดภัยต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด

 

กวฉ.สาขาสังคม ฯเห็นว่า สภาเภสัชกรรมอยู่ระหว่างขั้นตอนการสอบสวนข้อเท็จจริงในกรณีการร้องทุกข์ กล่าวโทษดังกล่าวซึ่งยังไม่เป็นที่สรุปว่าผู้อุทธรณ์ได้กระทำความผิดตามข้อร้องเรียนจริงหรือไม่ ดังนั้น เมื่อคำนึงถึงการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของหน่วยงานของรัฐ ประโยชน์สาธารณะ และประโยชน์ของเอกชนที่เกี่ยวข้องประกอบกัน การเปิดเผยรายชื่อผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษในขณะนี้จะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพ หรือไม่อาจสำเร็จตามวัตถุประสงค์ได้ ไม่ว่าจะเกี่ยวกับการตรวจสอบหรือการรู้แหล่งที่มาของข้อมูลข่าวสาร ตามมาตรา 15 (2) แห่งพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540 การใช้ดุลพินิจของสภาเภสัชกรรมในการเปิดเผยเพียงสาระของข้อกล่าวหาหรือข้อ กล่าวโทษ จึงชอบแล้ว


อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 35 แห่ง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ.2540  กวฉ.สาขาสังคมฯ จึงมีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์


http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1251632686&grpid=01&catid=04
--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.parent-youth.net
http://itceoclub.ning.com
http://www.presscouncil.or.th
http://ilaw.or.th
http://www.thaihof.org
http://thainetizen.org
http://www.ictforall.org
http://elibrary.nfe.go.th
http://www.logex.kmutt.ac.th
http://www.thaisara.com
http://www.rmutr.ac.th
http://icann-ncuc.ning.com
http://www.webmaster.or.th
http://weblogcamp2009.blogspot.com
http://pwdhutch3.blogspot.com
http://energygreenhealth.com

อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง"20 บิ๊ก"อดีตศาล รธน.-อดีต กกต.-ผู้ตรวจการ คดีขึ้นเงินเดือน หลังดูสำนวนานเกือบ 2 ปี

 วันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552 เวลา 19:29:17 น.  มติชนออนไลน์

อัยการสูงสุดสั่งฟ้อง"20 บิ๊ก"อดีตศาล รธน.-อดีต กกต.-ผู้ตรวจการ คดีขึ้นเงินเดือน หลังดูสำนวนานเกือบ 2 ปี

อัยการ สูงสุด มีความเห็นสั่งฟ้องกราวรูดอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อดีต กกต.-ผู้ตรวจการแผ่นดิน รวม 20 คน ข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบกรณีขึ้นเงินเดือนให้ ตัวเองคนละ 20,000 บาท หลังจากที่ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดมานานเกือบ 2 ปี

ผู้สื่อข่าว"มติชนออนไลน์"รายงานเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง
อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 13 คน
อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) 4 คน และ
ผู้ตรวจการแผ่นดินและอดีตผู้ตรวจการแผ่นดิน 3 คน
รวมแล้ว 20  คน ในข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 กรณีร่วมกันออกระเบียบจ่ายค่าตอบแทนให้กับตนเองโดยมิชอบในลักษณะเหมาจ่ายรายเดือนคนละ 20,000 บาทต่อศาลอาญา

สำหรับ อดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญประกอบด้วย
 1.นายกระมล ทองธรรมชาติ 
 2.นายจิระ บุญพจนสุนทร
 3.นายจุมพล ณ สงขลา
 4.นายผัน จันทรปาน
 5.นายมงคล สระฏัน
 6. นายมานิต วิทยาเต็ม
 7.นายศักดิ์ เตชาชาญ
 8.นายสุจิต บุญบงการ
 9.นายสุธี สิทธิสมบูรณ์
10. พล.ต.อ.สุวรรณ สุวรรณเวโช
11.นายสุวิทย์ ธีรพงษ์
12.นางเสาวนีย์ อัศวโรจน์
13.นายอุระ หวังอ้อมกลาง  


อดีต กกต.ประกอบด้วย พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ อดีตประธาน กกต. นายปริญญา นาคฉัตรีย์, นายวีระชัย แนวบุญเนียร และพล.อ.จารุภัทร เรืองสุวรรณ


ผู้ตรวจการแผ่นดินประกอบด้วย พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน  นายปราโมทย์ โชติมงคล และ อดีตผู้ตรวจการแผ่นดิน นายพูลทรัพย์ ปิยะอนันต์

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คดีดังกล่าว คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)มีมติชี้มูลความผิด ทางอาญาตั้งแต่เดือนธันวาคม 2550 และส่งเรื่องให้อัยการสูงสูงสุดพิจารณาสำนวน แต่อัยการสูงสุดใช้เวลาในการพิจารณาสำนวนนานเกือล 2 ปีจนถึงกลางปี 2552 จึงมีความเห็นให้สั่งฟ้องอดีตตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ อดีต กกต.และผู้ตรวจการแผ่นดินโดยแยกออกเป็น 3 สำนวน โดยขอให้ ป.ป.ช.ออกหมายเรียกบุคคลทั้ง 20 คนเพื่อให้อัยการสูงสุดนำไปตัวฟ้องคดีต่อศาล


อย่างไรก็ตาม พนักงานอัยการพยายามดำเนินการเรื่องนี้อย่างเงียบๆโดยอ้างว่า บุคคลทั้ง 20 คนล้วนแต่เป็น"ผู้ใหญ่"หรืออดีตเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง จึงต้องการให้เกียรติ
ไม่ต้องการให้เป้นข่าวอื้อฉาว

 


--
ขอเชิญอ่าน blog.Thank you so much.
http://www.baanjomyut.com/library/lotus
http://www.educationatclick.com
http://www.pwdom.com
http://weblogcamp2009.blogspot.com/2009
http://www.twitter.com/kajorn
http://www.twitter.com/BKKFlashCamp
http://camp02.readyhomepage.com
http://www.twitter.com/sun1951
http://www.twitter.com/joomlacorner
http://sun1951.vaivaitraining.com
http://sun1951.wordpress.com
http://www.educationatclick.com/th/

อนาถ"ย้อมแมว" ขายรถ"นวดสีข้าว" ทาสี-ปะผุ-ของเก่าสนิมจับ ยัดชาวบ้านราคา 2.5 แสน โครงการพอเพียงเจ้าเก่า


--
      Weblinkวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 32 ฉบับที่ 11495 มติชนรายวัน


อนาถ"ย้อมแมว" ขายรถ"นวดสีข้าว"


ทาสี-ปะผุ-ของเก่าสนิมจับ ยัดชาวบ้านราคา 2.5 แสน โครงการพอเพียงเจ้าเก่า




รถ"พอเพียง" - สภาพรถนวดสีข้าวตามโครงการชุมชนพอเพียง ที่ชุมชนแห่งหนึ่งใน ต.หนองขาม อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ จัดซื้อผ่านนายหน้าที่รับเดินเรื่องเร่งการอนุมัติงบประมาณให้ เพื่อแลกกับการจัดซื้อรถจากห้างร้านที่นำไปเสนอ ปรากฏว่าชุมชนได้รถเก่าย้อมแม้วทาสีใหม่ ห้องคนขับ (ภาพเล็ก) บ่งบอกชัดเจนว่าใช้งานมานาน ขณะที่ราคาสูงถึงคันละ 2.5 แสนบาท

โครงการ ชุมชนอื้อฉาวอีก ชาวชัยภูมิเสียรู้นายหน้าหลอก มีเส้นสายใน สพช.ช่วยเดินเรื่องอนุมัติงบฯชุมชนพอเพียงให้ได้ ครั้นยอมซื้อ"รถนวดสีข้าว"2.5แสนบาท วันไปรับสินค้าถึงกับอึ้ง เจอรถเก่าย้อมแมวทาสีให้ดูเหมือนใหม่มาขายให้ราคาแพงเกินจริง แถมเครื่องยนต์คนละยี่ห้อกับตัวถัง เผยซื้อจากร้านค้า "พ."ในโคราช

โครงการ ชุมชนพอเพียงของสำนักงานเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน หรือ สพช.ยังคงอื้อฉาวต่อเนื่อง หลังจากก่อนหน้านี้พบความไม่ชอบมาพากลในหลายพื้นที่ ล่าสุดจากการลงพื้นที่ตรวจสอบการดำเนินงานโครงการใน จ.ชัยภูมิ ไม่เพียงแต่มีนายหน้าบริษัทอาศัยข้อมูลวงในไปทำโครงการขายปุ๋ยอินทรีย์ สำเร็จรูปให้ชุมชนเท่านั้น หากยังพบพฤติกรรมนายหน้าบริษัทเอกชนขายเครื่องมือการเกษตรไปเสนอขายสินค้า ให้ชุมชน แลกกับการผลักดันให้ได้รับอนุมัติงบประมาณในโครงการโดยเร็วและที่แย่ไปกว่า นั้นคือ เครื่องมือการเกษตรนอกจากราคาแพงเกินจริง เมื่อไปรับสินค้ากลับกลายเป็นของย้อมแมว "มือสอง" ซึ่งผ่านการใช้งานมาแล้ว

พฤติกรรม นายหน้าบริษัททำมาหากินกับโครงการชุมชนพอเพียงนี้ ได้รับการเปิดเผยจากนายสมศรี ลุนบง อายุ 55 ปี ผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 13 ชุมชนบ้านหนองมะเขือใหม่ ต.หนองขาม อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ ว่า มีตัวแทนจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งมาพบที่บ้าน บอกว่าได้รับทราบข้อมูลมาว่าชุมชนของตนมีโครงการที่จะจัดซื้อรถนวดสีข้าว มาใช้งาน หากชุมชนตัดสินใจสั่งซื้อสินค้า กับบริษัทจะเดินเรื่องให้ สพช.อนุมัติงบประมาณมาให้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 15 วัน ตอนแรกที่ตัวแทนบริษัทมาติดต่อ รู้สึกประหลาดใจมากว่า ทำไมถึงทราบว่าชุมชนเสนอโครงการซื้อรถนวดสีข้าว มิหนำซ้ำยังบอกว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องโครงการ จะไปจัดการให้ แต่กรรมการชุมชนไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะตอนนั้นกังวลเพียงอย่างเดียวว่า โครงการที่เสนอไปแล้วจะได้รับอนุมัติงบฯล่าช้า เนื่องจากผ่านไปหลายเดือนแล้ว ยังไม่มีท่าทีว่าทางการจะอนุมัติให้ จึงตัดสินใจสั่งซื้อสินค้ากับบริษัทแห่งนี้ และบริษัทก็ดำเนินการได้จริงๆ หลังจากผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ ทางชุมชนได้รับจดหมายจากทางการแจ้งว่า โครงการได้รับการอนุมัติแล้ว และจะโอนเงินมาให้ 250,000 บาท ตามราคาสินค้าที่เสนอขายพอดี

นายสมศรีกล่าวว่า หลังจากโครงการรถนวดสีข้าวได้รับการอนุมัติ ตัวแทนบริษัทมาพบที่บ้านอีกครั้ง พร้อมพาไปที่สำนักงานบริษัท ที่ ต.โพนทอง อ.เมือง เพื่อให้ดูสินค้าตัวอย่าง พบสำนักงานเป็นเพียงบ้านจัดสรรหลังหนึ่ง หน้าบ้านไม่มีสินค้ามาวางโชว์ ภายในบ้านมีโต๊ะทำงาน และอุปกรณ์สำนักงานเพียงไม่กี่ชิ้น ตัวแทนอ้างว่าเป็นเพียงสำนักงานชั่วคราวที่ใช้ติดต่อขายสินค้าให้ชุมชนต่างๆ ส่วนสำนักงานใหญ่อยู่ที่ จ.นครราชสีมา จากนั้นเกลี้ยกล่อมให้ทำสัญญาซื้อขายทันที ไม่นานนัก ตัวแทนบริษัทได้พาไปรับสินค้าที่สำนักงาน

"พอผมเห็นรถนวดสีข้าวของ เขาถึงกับอึ้งเลย เพราะเป็นรถเก่าที่นำมาวางเครื่องทำสีใหม่ และนำเครื่องนวดสีข้าวมาติดตั้งเพิ่มเท่านั้น ราคาไม่น่าจะเกินคันละ 100,000 กว่าบาท พยายามต่อรองขอให้บริษัทลดราคาลงมา ตัวแทนบริษัทอ้างว่าราคาคันละ 250,000 บาท เหมาะสมแล้ว เพราะบริษัทมีต้นทุนในการผลิตสูง แต่พร้อมรับดูแลซ่อมบำรุงให้ในกรณีมีปัญหาใช้งานไม่ได้ เมื่อเขาไม่ยอมลดราคาให้ ผมจำใจรับรถและขับกลับมาที่ชุมชน จนบัดนี้ยังไม่ได้ทดลองใช้งาน เนื่องจากยังไม่ถึงช่วงฤดูเก็บเกี่ยว เลยนำไปจอดเก็บไว้ เมื่อถึงตอน นั้นหากสินค้ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเขาจะส่งคนมาดูแลให้ตามที่รับปากไว้หรือไม่ แต่ถ้ามีปัญหาจริงๆ คงจะถอดเครื่องนวดสีข้าวออกไปก่อน และนำรถไปใช้ขนของในหมู่บ้านเวลามีงานแทน" นายสมศรีกล่าว

ผู้สื่อ ข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบสภาพรถนวดสีข้าวคันดังกล่าวพบว่า เป็นรถ 6 ล้อเก่าที่นำมาปะผุ และทาสีใหม่ อุปกรณ์ภายในรถไม่ว่าจะเป็นคอนโซลหน้า พวงมาลัย ล้วนเป็นของเก่าทั้งสิ้น ตัวถังรถระบุว่าเป็นยี่ห้อโตโยต้า แต่เครื่องยนต์กลับเป็นยี่ห้ออีซูซุ 100 L ซึ่งเป็นเครื่องเก่าเช่นกัน และนำเอาเครื่องนวดสีข้าวขนาด 5 ฟุต 76 แรงม้า มาเชื่อมต่อไว้ด้านบนตัวรถ ก่อนทาสีทั้งคันให้เป็นสีฟ้าเพื่อให้รถดูใหม่ จากการตรวจสอบสัญญาซื้อขายที่ชุมชนทำกับบริษัทพบว่า รายชื่อผู้ประกอบการที่นำสินค้ามาขายให้มีสถานะเป็นเพียงร้านค้าชื่อย่อ "พ" ตั้งอยู่ที่ จ.นครราชสีมา ไม่ใช่ บริษัทมีชื่อเสียงอะไร เมื่อติดต่อไปยังเบอร์โทรศัพท์ที่ระบุไว้ในสัญญา กลับไม่สามารถติดต่อได้


หน้า 1